ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สนใจอยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญ

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอได้ง่าย เมื่อมีคนพิมพ์หาด้วย keyword หนึ่ง ๆ ในช่อง Search ของ Google จะปรากฏเว็บไซต์ขึ้นมามากมาย เว็บไซต์ที่อยู่อันดับต้น ๆ มาจากการทำ SEO ได้ดีก็จะมีโอกาสได้รับการสั่งซื้อสินค้าและเป็นที่จดจำในกลุ่มผู้ใช้งานได้มากขึ้น

เจ้าของเว็บไซต์ทุกคนต่างมุ่งหวังอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น ที่เรียกว่าส่วนของออร์แกนิก SERPs หรือ search engine result pages เพราะมีการเก็บสถิติวิจัยด้านการตลาดพบว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 1-5 ของ Organic SERPs จะมียอดขายสินค้ามากกว่าเว็บไซต์อันดับล่างลงไป จำนวนหลายเท่าตัว จึงหมายถึงโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วย

การทำเว็บไซต์ SEO นั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สนใจอยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญ คือ

โครงสร้างหรือผังเว็บไซต์

ส่วนโครงสร้างหรือผังของเว็บไซต์ มีความจำเป็นที่ต้องใช้งานง่าย แยกหมวดหมู่ของสินค้าให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประทับใจ และควรมี chatbot หรือระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ มาเป็นผู้ช่วยในการตอบคำถามง่าย ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ เพราะจะสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและประหยัดเวลาให้ผู้บริโภคประทับใจมากขึ้น

คุณภาพของเนื้อหา

ในเว็บไซต์ต้องมีหัวใจหลักคือ เนื้อหาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งมีการผลิตรูปหรือสื่อมัลติมีเดียที่แตกต่างจากเว็บไซต์อื่น ๆ จึงจะทำให้ระบบ algorithm ของ Google ประเมินว่ามีความน่าสนใจสูง ทำให้ได้คะแนน SEO ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องไม่มีการคัดลอกบทความหรือรูปภาพมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่จะทำให้ถูกแบนหรือลดอันดับความน่าเชื่อถือด้วย

การทำลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ภายนอก

เมื่อมีการผลิตบทความแล้ว ควรที่จะใส่ Reference หรือแหล่งอ้างอิงของข้อมูล เพื่อเป็นการให้คุณค่าแก่เว็บไซต์ที่นำข้อมูลมาใช้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการทำ backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมส่งเสริมการขายซึ่งกันและกันได้ การมี backlink ที่มีคุณภาพสูงจะช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้น และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้

การทำ SEO ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์สามารถศึกษาจากหนังสือและฝึกทำได้ด้วยตัวเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือจะจ้างบริษัททำก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องทราบว่าการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลที่มีคุณภาพ 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไป ดังนั้นการจ้างทำ SEO เท่ากับเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจด้วย

ทั้งนี้ ควรมีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการทำ SEO โดยใช้โปรแกรมเฉพาะ เช่น Google search Console ที่จะแสดงค่าสถิติด้านการเข้าชม ประสิทธิภาพของการใช้ keyword แต่ละคำ ความสามารถเชื่อมโยงลูกค้าเข้ามาจากแต่ละลิงก์ ฯลฯ เพื่อให้วางแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ SEO ได้อย่างเหมาะสมต่อไป เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ทุกท่านนำไปต่อยอดเพื่อให้มียอดขายที่ดีและมีลูกค้าที่มากขึ้นได้จากการทำ SEO

ทำไมผู้เชี่ยวชาญถึงแนะนำให้ทำ SEO ให้เว็บไซต์ 2019

Comments are closed.

Post Navigation