เทคนิคการทำเนื้อหา SEO ให้คนเข้าดูเยอะ

การทำ SEO นั้นเปรียบเสมือนการใช้ศาสตร์และศิลป์เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นไปติดอันดับบนหน้าแรก ๆ ของ search engine แล้ววันนี้เราก็มีเทคนิคซึ่งเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการทำเนื้อหา SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีคนกดเข้าไปดูเยอะกว่าที่ผ่านมา ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเทคนิคเหล่านี้มีอะไรบ้าง

การทำเนื้อหา SEO

ตั้งชื่อหัวข้อให้น่าสนใจ น่าคลิกเข้าไปอ่าน

อย่างที่เรารู้กันดีว่าหัวข้อที่น่าสนใจนั้นมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะมันช่วยให้คุณไม่ต้องออกแรงเพื่อให้คนกดเข้าไปอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์มากนัก เพียงแค่ชื่อบทความตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาและเป็นหัวข้อที่มีลักษณะเชิญชวนให้กด ก็ทำให้คนอยากกดเข้าไปอ่านแล้วล่ะ

เพิ่ม internal link ลงไปในบทความบนเว็บไซต์

การทำ internal link นั้นมีจุดประสงค์คล้าย ๆ กับการทำ backlink แต่เป็นการสร้างการเชื่อมโยง link ที่อยู่ภายในเว็บไซต์เท่านั้น หากมีคนกด link เพื่อเข้าไปอ่านเนื้อหาอีกหน้าหนึ่งภายในเว็บไซต์ของคุณ ก็จะช่วยเพิ่มระยะเวลาการอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้คะแนนจาก search engine มากขึ้น

อย่าทำ backlink เหมือน spam

ตัวอย่างการทำ backlink ที่ดูเหมือน spam คือ การที่คุณนำ URL ของเนื้อหาไปวางไว้ในเว็บไซต์อื่น ๆ โดยที่เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาใน URL ของคุณเลย

ใช้ social media เป็นตัวช่วย traffic

Social media เป็นตัวช่วยที่ดีในการเพิ่ม traffic ให้มีคนเข้าไปดูเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่คุณสร้างขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียวล่ะ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการคนอ่านได้ ก็จะทำให้คุณไม่ต้องใช้ social media เป็นตัวช่วยในระยะยาวอีกเลยก็ได้การทำเนื้อหา SEO

ใส่ meta description ให้คนรู้ว่าหน้าเนื้อหาของคุณพูดเกี่ยวกับอะไร

Meta description เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้รู้ก่อนว่าเนื้อหาในหน้าที่พวกเขาจะกดเข้าไปนั้น เป็นบทความที่เกี่ยวกับเรื่องอะไร ยิ่งมีคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้นิยมใช้ในการค้นหาด้วยแล้ว ก็ยิ่งช่วยให้คนอยากกดเข้าไปอ่านมากขึ้น

สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการ verify SSL ให้เรียบร้อย

แม้ว่า search engine จะไม่ได้บอกให้คุณ verify SSL แต่หากเว็บไซต์ของคุณมีการทำ SSL เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือบน search engine ได้ อีกทั้งยังเพิ่มเครดิตให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าเมื่อกดเข้าไปดูเว็บไซต์ของคุณแล้วจะปลอดภัยนั่นเอง

เทคนิคเหล่านี้เป็นวิธีที่ช่วยให้หลายเว็บไซต์ที่ทำเนื้อหา SEO มานานแต่ไม่มี traffic วิ่งเข้าไปในเว็บไซต์เลย ได้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคนดูเว็บไซต์ให้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการปรับกลยุทธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แล้วคุณล่ะได้ใช้เทคนิคเหล่านี้ไปแล้วหรือยัง

เทคนิค SEO ที่บล็อกเกอร์ควรทำ

ในอดีตหากมีใครสักคนที่เอาแต่ กิน ดื่ม เที่ยว แต่งตัว แต่งหน้าไปวัน ๆ อาจโดนมองว่าเป็นคนไม่มีแก่นสาร แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป กิจกรรมยามว่างเหล่านั้นกลับกลายเป็นอาชีพที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน ซึ่งอาชีพบล็อกเกอร์เป็นอาชีพที่ทำให้ผู้คนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก โดยมีข้อแม้ว่าต้องมีการโพสต์รีวิวสถานที่หรือสิ่งของที่ตัวเองเคยไปหรือเคยใช้ลงเว็บไซต์เพื่อแลกกับค่าจ้างโฆษณา หรือโปรโมทสินค้าให้กับผู้ที่ติดตามเราบนเว็บไซต์

ด้วยความนิยมของอาชีพที่มีเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้มีคนเข้าสู่วงการนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กีฬา เกม ฯลฯ ก็สามารถกลายเป็นบล็อกเกอร์ได้ง่าย ๆ โดยเส้นทางของการเป็นบล็อกเกอร์ต้องเริ่มจากการมีเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกเป็นของตัวเอง

วิธีการสร้างเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกสามารถทำได้ง่ายมาก เพียงใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการสร้างเว็บไซต์และเช่าโดเมนเนมที่ต้องการ ก็ทำให้ได้เว็บไซต์หรือเว็บบล็อกที่ต้องการแล้ว จากนั้นโพสต์ Content ที่น่าสนใจลงสูงเว็บไซต์ โดยคอนเทนต์ที่น่าสนใจอาจเป็นบทความหรือเป็นคลิปวิดีโอก็ได้แต่สิ่งสำคัญคือ ควรโพสต์เป็นประจำทุกวัน วันละ 1 Content เป็นอย่างน้อย

สำหรับบล็อกเกอร์ที่ต้องการเขียนบทความเพื่อสร้างรายได้ควรเลือกทำบล็อกที่มีความเฉพาะทาง เช่น บล็อกสัตว์เลี้ยงหายาก, บล็อกถักไหมพรม, บล็อกสอนเขียนแพลนเนอร์ เป็นต้น เนื่องจากบล็อกเฉพาะทางเหล่านี้ยังมีจำนวนผู้ทำน้อยจึงมีการแข่งขันต่ำ จากนั้นใช้เทคนิค SEO เพื่อช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้น โดยเทคนิค SEO ที่บล็อกเกอร์ควรทำเพื่อสร้างรายได้ มีดังนี้

เทคนิค SEO ที่บล็อกเกอร์ควรทำ

ตั้งชื่อหัวข้อบทความด้วยประโยคที่น่าสนใจหรือประโยคคำถาม โดยแทรก Keyword หลักที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบ่อยเอาไว้ ซึ่งการทำบทความตอบคำถามกำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม จึงควรทำไว้เพื่อเป็นการเชื้อเชิญให้กลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์

ทุกบทความควรมีรูปภาพที่มีคุณภาพและมีความสอดคล้องกับเนื้อหาภายในบทความ รวมถึงต้องเขียนคำอธิบายภาพ หรือ Alt image โดยใช้ Keyword เพื่อให้ Search Engine ทราบว่าเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ซึ่งจะทำให้บทความดูมีความน่าสนใจมากขึ้น

ควรมีบทความที่ใช้ภาษาที่เป็นทางการผสมผสานกับบทความที่ใช้ภาษาพูดเพื่อการอธิบายบ้าง เพื่อให้รองรับกับ Voice Search ที่ Search Engine กำลังพัฒนาเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อผู้ใช้งานมากที่สุด การทำบทความที่มีสาระโดยใช้ภาษาพูดจะช่วยรองรับเมื่อมีกลุ่มเป้าหมายค้นหาด้วยคำสั่งเสียง

เขียนบทความที่มีสาระความรู้และให้ประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพื่อให้ Search Engine เห็นว่าเว็บไซต์มีคุณภาพซึ่งจะทำให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ง่ายขึ้น

ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าสู่ผู้คนทั่วโลก ทำให้การเป็นบล็อกเกอร์ไม่ได้ยากเหมือนกับในอดีต จึงทำให้ทุกคนสามารถเป็นบล็อกเกอร์ชื่อดังในด้านที่ตัวเองถนัดได้ง่าย ๆ

SEO เคล็ดลับสร้างรายได้สำหรับบล็อกเกอร์

การทำ SEO ให้ประโยชน์กับเว็บไซต์อย่างไร

อินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายไร้สายที่สามารถเชื่อมต่อคนทั่วโลกเข้าหากันได้ ทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน หากต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรสักอย่างแค่เพียงค้นหาใน Search Engine ก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการหากข้อมูลนั้นถูกโพสต์ไว้บนอินเทอร์เน็ต

เว็บไซต์เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักขายของออนไลน์, บล็อกเกอร์หรือนักการตลาดออนไลน์ สามารถใช้วิธีการแบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจโดยเว็บไซต์เหล่านี้มักจะทำจะทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้ถูกค้นเจอง่ายที่สุด ซึ่ง ข้อดีของการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ มีดังนี้

การทำ SEO ให้ประโยชน์กับเว็บไซต์อย่างไร

ได้ความความมั่นใจจากกลุ่มเป้าหมาย เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครเห็นเว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกก็มักต้องรู้สึกไว้วางใจเว็บไซต์นั้น ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine ย่อมมีการเรียบเรียงเนื้อหาออกมาเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ที่อ่านสามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้จนจบ

มีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าเว็บไซต์นั้นจะเป็นเว็บไซต์สำหรับขายสินค้า เว็บไซต์รีวิวสินค้า เว็บไซต์ข่าวหรือบล็อก การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ย่อมทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพื้นที่โฆษณา การซื้อสินค้าหรือบริการ ก็ตาม

สร้างชื่อเสียงให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง การโฆษณาเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine ใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง แต่การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์จะทำให้เว็บติดอันดับบนหน้าแรกและกลายเป็นที่จดจำโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมาก ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์อาจนำเงินที่ต้องซื้อโฆษณามาใช้ปรับปรุงเว็บไซต์ให้สวยงามและมีประสิทธิภาพดีขึ้น

SEO ช่วยคัดกรองผู้เข้าสู่เว็บไซต์ แน่นอนว่าการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์จนติดอันดับย่อมต้องเจาะจง Keyword ให้ชัดเจน ซึ่งการทำแบบนี้เป็นการกรองเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์โดยตรง ทำให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเห็น Traffic ของกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงที่เข้าสู่เว็บไซต์และนำไปวางแผนแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นต่อไปได้

ก้าวนำหน้าคู่แข่งเสมอ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ย่อมได้เปรียบคู่แข่งของหมวดสินค้า-บริการประเภทเดียวกัน ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วรวมถึงความไว้วางใจของลูกค้าที่มากขึ้น ทำให้เป็นการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ได้และรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ด้วย

ข้อดีของการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์จนติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ยังมีอีกมากมาย ซึ่งวิธีพื้นฐานในการทำให้เว็บติดอันดับควรเริ่มที่การเลือก Keyword ที่มีอัตราการแข่งขันต่ำแต่มีจำนวนผู้ค้นหาจำนวนมาก จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ง่ายกว่า

ดังนั้น เป้าหมายแรก ๆ ที่ควรทำให้สำเร็จก็คือ การทำ SEO เนื่องจากการได้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine จะทำให้เป้าหมายด้านอื่น ๆ ในการทำเว็บไซต์ประสบความสำเร็จตามไปด้วย

ธุรกิจเว็บไซต์ต้องรู้จัก SEO และข้อดีของการทำ SEO

นักเขียน SEO ที่ดี ต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง 2020

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาก ในปี 2019 เพราะทุกธุรกิจต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทางมือถือและคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะส่งเสริมการขายได้มากที่สุด ทำให้อาชีพนักเขียน SEO ได้รับความนิยมตามมาด้วย และยังคงต่อเนื่องสู่ปี 2020

นักเขียน SEO ที่ดีในปี 2020 ต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง

เลือก keyword ที่ดี

คีย์เวิร์ดที่เหมาะกับการทำบทความ SEO ต้องเลือกจาก Google search Console ซึ่งจะมีการรวบรวมสถิติเอาไว้ว่า keyword ตัวใดมีศักยภาพในการแข่งขันสูง โดยมักเป็นคำที่มีความยาวและมีความหมายเฉพาะเจาะจง เช่น ยี่ห้อร่วมกับคุณสมบัติพิเศษ เช่น ราคาถูก ใช้ทนทาน มีประกัน ฯลฯ คำเหล่านี้ จะเหมาะกับการเขียนบทความสำหรับส่งเสริมการขายอุปกรณ์เทคโนโลยี สินค้าไอทีต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าเลือก keyword ดี จะทำให้บทความนั้นมีโอกาสได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น

ข้อมูลสินค้าทันสมัย

การศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ keyword สินค้านั้น ๆ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณกำลังจะเป็นนักเขียนบทความ SEO เกี่ยวกับมือถือหรือรถยนต์ ต้องศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดพื้นฐาน เช่น มือถือมีระบบปฏิบัติการอย่างไร มีระบบหน่วยความจำ กล้อง ที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง ฯลฯ หากเป็นรถยนต์ ก็ต้องเข้าใจเรื่องของระบบเครื่อง รถยนต์ระบบไฮบริด ระบบไฟฟ้า ระบบ AI ที่ใช้ในการควบคุมแทนคนขับ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การเป็นนักเขียนที่มีคุณภาพสูง จะต้องมีการศึกษารายละเอียดใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพื่อเขียนบทความ SEO ที่น่าสนใจ

การใช้โปรแกรม wordpress และ plugin ต่าง ๆ

โปรแกรม wordpress เรียกว่าเป็นตัวช่วยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการทำบทความ SEO ซึ่งสามารถช่วยผู้เขียนในการปรับแต่งส่วนประกอบต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น การตั้งชื่อหัวข้อ การใส่ URL address การ การคิดบทนำหรือ meta description นอกจากนี้ ยังมี plugin ที่สำคัญ อย่าง Yoast SEO ที่สามารถดาวน์โหลดใช้คู่กันได้ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์คุณภาพบทความ SEO ได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

การใช้รูปภาพประกอบบทความ

รูปภาพที่ใช้ในการประกอบบทความ SEO ควรจะเป็นภาพที่ทำขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้องหรือโทรศัพท์มือถือที่ต้องคมชัดสวยงาม หรือจะเป็นการเขียนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ก็จะทำให้มีความโดดเด่นและตรงกับเนื้อหาบทความมากขึ้นด้วย แต่หากไม่สามารถทำรูปภาพด้วยตัวเอง ก็สามารถเลือกรูปภาพที่อนุญาตให้ใช้ฟรี ไม่มีปัญหาลิขสิทธิ์ได้จากเว็บไซต์ภาพฟรีต่าง ๆ แต่ก็ควรทราบด้วยว่า การทำรูปประกอบบทความเอง จะส่งผลดีต่ออันดับ SEO มากกว่าการใช้รูปฟรีแน่นอน

การเป็นนักเขียน SEO ที่มีคุณภาพในปี 2020 นี้ จำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เพื่อผลิตผลงานได้สอดคล้องกับการตลาดออนไลน์ ซึ่งสามารถที่จะลงเรียนเพิ่มเติม หรืออ่านจากหนังสือพร้อมกับการฝึกฝนบ่อย ๆ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ ฝึกฝนให้เป็นนักเขียนที่เก่งและได้รับงานดี ๆ มากขึ้น

นักเขียน SEO ที่ดีในปี 2020 ต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่คนมักเห็นจากหนังสือและเว็บไซต์แนะนำการทำตลาดบนอินเทอร์เน็ต แต่อาจไม่ทราบว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เราจึงรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาไว้ที่นี่ ดังนี้

SEO

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและการใส่รายละเอียดด้านต่าง ๆ ลงในเว็บไซต์ เพื่อให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ที่ search engine อย่าง Google ซึ่งนับเป็น search engine ที่คนไทยนิยมอันดับหนึ่งในการค้นหาข้อมูล

ซึ่งเทรนด์ในปี 2020 เจ้าของเว็บไซต์ต้องเน้นทำ SEO ที่มีเนื้อหาหลายหลาย เพิ่มมัลติมีเดีย โดยต้องมีการวิจัย keyword ที่ตรงกับการสืบค้นมากขึ้น แบบ Niche-longtail keyword ออกแบบสีสันและฟอนต์เว็บไซต์ให้สวยงามทั้งในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ เพราะ 9 ใน 10 คนที่มีกำลังซื้อสูงมักใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือพกพา

นอกจากนี้ การทำลิงก์เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้ากับเว็บไซต์ทางธุรกิจ เพื่อให้เพิ่มความน่าเชื่อถือและเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นก็สำคัญเช่นกัน โดยตัวช่วยที่ดีสำหรับการทำ SEO คือ Yoast SEO ที่ช่วยปรับแต่งรายละเอียดได้อย่างรวดเร็ว

SEM

การทำ SEM หรือ search engine marketing เป็นการตลาดที่เห็นผลอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการประมูลพื้นที่โฆษณา ที่ต้องมีการแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่หวังจะใช้ keyword เดียวกัน ดังนั้น หากเป็นคำศัพท์ที่มีการที่มีอัตราการพิมพ์ค้นหาสูง ก็ทำให้ต้องมีเงินค่าใช้จ่ายสำรองในการประมูลสูงขึ้น

เมื่อได้พื้นที่ประมูลมาแล้วจะเท่ากับมีโอกาส 100 เปอร์เซ็นต์ที่ผู้ค้นหาผ่านช่อง search ใน Google จะเห็นเว็บไซต์ปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ เสมอ ซึ่งทุกครั้งที่มีคนคลิกเข้าไปชมในเว็บไซต์ ก็จะต้องจ่ายเงินแบบ pay per click หรือตามรายครั้งการคลิก ให้แก่ Google ด้วย

การทำ SEM เป็นการเพิ่มโอกาสที่สูงมาก ในการได้รับออเดอร์สินค้าในเวลาเพียงแค่ 1-2 วันหลังจากการทำโฆษณา ต่างจากการทำ SEO ที่ต้องรอนานและต้องมีความสม่ำเสมอสูงในการนำเสนอข้อมูลใหม่ ๆ การทำ SEM เป็นสิ่งที่จะทำหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เงินงบประมาณและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ว่ามีความคุ้มค่าต่อธุรกิจหรือช่วยสร้างชื่อเสียงให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว

การทำ SEO และ SEM มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป แต่ก็สามารถทำร่วมกันได้ในธุรกิจเว็บไซต์เดียวกัน ต้องวางแผนให้ดีว่าควรทำ SEM เสริมในช่วงเทศกาลใด เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ วาเลนไทน์ คริสต์มาส หรือช่วงปลายเดือนที่คนส่วนใหญ่มีกำลังทรัพย์สูงขึ้น

ผู้ที่ศึกษาให้ทราบถึงหลักการทำ SEO กับ SEM อย่างละเอียด จะนำจุดดีของทั้งสองวิธีนี้มาผสมผสานกัน ทำให้มียอดขายที่สูงขึ้นได้และมีคนรู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้สนใจทำเว็บไซต์ออนไลน์เห็นความแตกต่างของการตลาดทั้งสองแบบ และเป็นแนวทางในการเลือกวิธีที่เหมาะกับธุรกิจของคุณได้มากที่สุด

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สนใจอยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญ

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอได้ง่าย เมื่อมีคนพิมพ์หาด้วย keyword หนึ่ง ๆ ในช่อง Search ของ Google จะปรากฏเว็บไซต์ขึ้นมามากมาย เว็บไซต์ที่อยู่อันดับต้น ๆ มาจากการทำ SEO ได้ดีก็จะมีโอกาสได้รับการสั่งซื้อสินค้าและเป็นที่จดจำในกลุ่มผู้ใช้งานได้มากขึ้น

เจ้าของเว็บไซต์ทุกคนต่างมุ่งหวังอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น ที่เรียกว่าส่วนของออร์แกนิก SERPs หรือ search engine result pages เพราะมีการเก็บสถิติวิจัยด้านการตลาดพบว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 1-5 ของ Organic SERPs จะมียอดขายสินค้ามากกว่าเว็บไซต์อันดับล่างลงไป จำนวนหลายเท่าตัว จึงหมายถึงโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วย

การทำเว็บไซต์ SEO นั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สนใจอยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญ คือ

โครงสร้างหรือผังเว็บไซต์

ส่วนโครงสร้างหรือผังของเว็บไซต์ มีความจำเป็นที่ต้องใช้งานง่าย แยกหมวดหมู่ของสินค้าให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประทับใจ และควรมี chatbot หรือระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ มาเป็นผู้ช่วยในการตอบคำถามง่าย ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ เพราะจะสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและประหยัดเวลาให้ผู้บริโภคประทับใจมากขึ้น

คุณภาพของเนื้อหา

ในเว็บไซต์ต้องมีหัวใจหลักคือ เนื้อหาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งมีการผลิตรูปหรือสื่อมัลติมีเดียที่แตกต่างจากเว็บไซต์อื่น ๆ จึงจะทำให้ระบบ algorithm ของ Google ประเมินว่ามีความน่าสนใจสูง ทำให้ได้คะแนน SEO ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องไม่มีการคัดลอกบทความหรือรูปภาพมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่จะทำให้ถูกแบนหรือลดอันดับความน่าเชื่อถือด้วย

การทำลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ภายนอก

เมื่อมีการผลิตบทความแล้ว ควรที่จะใส่ Reference หรือแหล่งอ้างอิงของข้อมูล เพื่อเป็นการให้คุณค่าแก่เว็บไซต์ที่นำข้อมูลมาใช้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการทำ backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมส่งเสริมการขายซึ่งกันและกันได้ การมี backlink ที่มีคุณภาพสูงจะช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้น และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้

การทำ SEO ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์สามารถศึกษาจากหนังสือและฝึกทำได้ด้วยตัวเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือจะจ้างบริษัททำก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องทราบว่าการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลที่มีคุณภาพ 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไป ดังนั้นการจ้างทำ SEO เท่ากับเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจด้วย

ทั้งนี้ ควรมีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการทำ SEO โดยใช้โปรแกรมเฉพาะ เช่น Google search Console ที่จะแสดงค่าสถิติด้านการเข้าชม ประสิทธิภาพของการใช้ keyword แต่ละคำ ความสามารถเชื่อมโยงลูกค้าเข้ามาจากแต่ละลิงก์ ฯลฯ เพื่อให้วางแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ SEO ได้อย่างเหมาะสมต่อไป เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ทุกท่านนำไปต่อยอดเพื่อให้มียอดขายที่ดีและมีลูกค้าที่มากขึ้นได้จากการทำ SEO

ทำไมผู้เชี่ยวชาญถึงแนะนำให้ทำ SEO ให้เว็บไซต์ 2019

SEO เป็นเทคนิคการตลาด

SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่คนทำเว็บไซต์ออนไลน์ต้องทำความรู้จักเนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เหมาะกับผู้เริ่มทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แต่ยังทำให้อันดับในการสืบค้นอยู่หน้าแรกของ Google เสมอ ซึ่งจะทำให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคและมียอดขายดีตามไปด้วย

SEO หรือ search engine optimization เป็นการพัฒนาหลาย ๆ ส่วนของเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ที่ Google กำหนด ได้แก่ การปรับโครงสร้างให้ใช้งานง่ายสะดวกทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การมีเนื้อหาที่น่าสนใจในแต่ละหน้า ตอบโจทย์การค้นหาแต่ละ keyword การมีลิงก์เชื่อมโยงสู่เว็บไซต์ภายนอกที่มีคุณภาพสูง ฯลฯ

ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ควรรู้ คือ

1. ตัวช่วยที่ดีสำหรับการเลือก keyword

ตัวช่วยหาคำสำคัญแบบ Long-tailed keyword ที่คนนิยมค้นหา เปรียบได้กับหัวใจของการทำบทความในเว็บไซต์ ที่คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ ๆ ควรรู้จัก คือ Google keyword planner จะมีการแสดงคำต่าง ๆ คู่กับสถิติเปอร์เซ็นต์การคลิกเข้าชมของเว็บไซต์ชั้นนำที่มียอดขายสูง ให้คุณนำไปดัดแปลงต่อยอดในการเขียนบทความได้

2. การทำ Backlink และ Hyperlink

เป็นการสร้างจุดเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเว็บไซต์หลายแห่งเข้าด้วยกันผ่านเว็บไซต์ของคุณ จะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายได้ดีขึ้น เพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ให้มีอันดับ SEO ที่ดีขึ้นได้ สามารถเรียนรู้การทำได้ผ่าน plugin Yoast SEO

3. การแชร์ไปยังสื่อโซเชียล

คนรุ่นใหม่นิยมใช้หลาย ๆ แพลตฟอร์ม เช่น YouTube, Facebook, Instagram หากประทับใจเว็บไซต์ใด มักแชร์และบอกต่อ ซึ่งสามารถดูสถิติการแชร์ได้ผ่าน Google search console เพื่อดูว่าควรปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของลูกค้าในทิศทางใด

ข้อดีสำคัญของการทำ SEO

เป็นเทคนิคที่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างบริษัททำ SEO ประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์เป็นรายคลิกหรือที่เรียกว่า pay per click ได้

ข้อจำกัดของ SEO

ระบบ algorithm ของ Google จะมีการสำรวจและเก็บข้อมูลการทำ SEO เป็นระยะ เพื่อนำไปวิเคราะห์เป็นคะแนน เปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อนำไปสู่การจัดอันดับของเว็บไซต์คุณ โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือนหลังการทำ จึงเห็นผลช้ากว่าการทำโฆษณาที่จะเห็นผลในช่วง 1-2 วันเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า SEO เป็นสิ่งที่คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ต้องศึกษา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับร้านค้าออนไลน์อื่นที่มีมานาน ซึ่งการทำธุรกิจออนไลน์ในอนาคต จำเป็นที่จะต้องแข่งขันด้านคุณภาพของเว็บไซต์ SEO มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เราหวังว่าทุกท่านจะเห็นความสำคัญของการทำ SEO และศึกษาเพื่อนำไปปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตต่อไป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ SEO อยากทำให้เว็บไซต์ดี ต้องดู

วิธีแก้ 404 Error ในเว็บไซต์ SEO

404 Error เป็นปัญหาที่เกิดจากการเชื่อมโยงลิงก์ไม่สมบูรณ์ หรือมีบางเพจถูกลบข้อมูลไป ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อการจัดอันดับ SEO ที่ลดลงจาก Google กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าเมื่อเปิดเจอเพจที่เข้าถึงข้อมูลไม่ได้

การแก้ปัญหา 404 Page Not Found สามารถที่จะทำได้หลายวิธี ดังนี้

1. การแก้ไขผ่าน Rank Math SEO

ก่อนอื่นเจ้าของเว็บไซต์หรือผู้ดูแลต้องตรวจสอบก่อนว่า เว็บไซต์มีลิงก์ที่เป็น Error 404 หรือไม่ โดยเข้าไปที่ Google search Console ซึ่งเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์ ว่าสอดคล้องตามหลักเกณฑ์ SEO หรือไม่ โดยเข้าไปดูในหัวข้อของ Crawl Error หรือหน้ารวมผลความผิดพลาดของเว็บไซต์

หากพบว่ามีเพจที่ปรากฏข้อผิดพลาด 404 Error ซึ่งจะมีข้อมูลทั้งชื่อ URL ที่มีปัญหา Hit หรือ จำนวนการเข้าใช้งานและ Access time ที่หมายถึงเวลาใช้งาน เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ให้เข้าไปในฟังก์ชันที่ชื่อ Redirections ของ Rank Math SEO เพื่อทำการเปลี่ยน URL address ที่ให้เชื่อมโยงใหม่ ซึ่งจะสามารถกำหนดค่าได้ว่าจะให้เป็นการเปลี่ยนชั่วคราวหรือถาวรใน URL addressนั้น จากนั้นกดคำว่า activate อีกครั้ง เพื่อทำให้กระบวนการสมบูรณ์

แต่หากต้องการพิสูจน์ให้มั่นใจ 100 เปอร์เซนต์ ว่า Redirections ทำงานจริงหรือไม่ ให้เข้าไปที่ฟังก์ชัน Redirections ของ Rank Math SEO อีกครั้ง จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของ URL address ที่ตั้งคำสั่งเข้าไปใหม่เมื่อสักครู่

2. การแก้ไขด้วย plugin ชื่อ Redirections

หลังจากเช็คว่ามี 404 Page Not Found ใน Google Search Console แล้ว ให้เข้าไปที่หัวข้อ Tools แล้วเลือก Direction หลังจากนั้นให้คัดลอก URL addressที่มีปัญหา มาใส่ในช่อง Source URL และนำ URL ใหม่ใส่ลงไปในช่อง Target URL แล้วกดที่คำว่า Add Redirection เพื่อเป็นการยืนยันคำสั่ง

หลังจากนั้น ต้องไปยืนยันอีกครั้งที่ Google search Console ทำเครื่องหมายว่าผ่านการแก้แล้ว หรือ Mark as fixed อีกครั้งเสมอ ซึ่งหากมีหลายเพจที่มีปัญหา 404 Error นี้ ก็ต้องทำกับแต่ละ URL address เช่นนี้จนครบ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาค่อนข้างมาก

3. การแก้ไขผ่าน Yoast SEO

การทำเช่นนี้ ต้องเป็นแบบ Yoast SEO รุ่นพรีเมี่ยมเท่านั้น โดยสามารถแก้ไขได้สะดวก ไม่ต้องแก้ทีละจุดอย่าง plugin Redirections โดยให้ไปที่ หัวข้อ Search Console ของ Yoast SEO และคลิกที่ Get Google Authorization Code เพื่อนำรหัสที่ระบบแจ้ง มาใช้ในการดึงลิงก์ URL address ที่มีปัญหาจาก Google มาแสดงให้เห็น เพื่อแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว โดยจะอยู่ในหมวด 301 Redirect และไม่ต้องไปทำการกด Mark as Fixed ใน Google search Console อีกครั้ง

จะเห็นได้ว่าเทคนิคการแก้ไข 404 Error มีอยู่หลายแบบ ซึ่งคุณสามารถที่จะเรียนรู้การทำงานของแต่ละ plugin ทั้งแบบฟรีและเวอร์ชั่นพรีเมี่ยมได้ เพื่อที่จะปรับคุณภาพของเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบ SEO ได้อย่างมีคุณภาพยิ่งขึ้น

การแก้ปัญหา 404 Page Not Found

การทำ SEO ให้แก่รูปภาพ เพื่อให้สืบค้นได้ง่าย

เราหลายคนเคยใช้บริการหารูปภาพใน Google image search ซึ่งภาพต้น ๆ จะเห็นรูปภาพที่สวยงามน่าประทับใจ ชวนให้คลิกเข้าไปอ่านบทความเสมอ หากคุณต้องการทำให้รูปภาพที่ประกอบในเว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างนั้นบ้าง จะต้องทำ SEO อย่างไร เรามีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน ดังนี้

การทำ SEO ให้แก่รูปภาพ เพื่อให้สืบค้นได้ง่าย ต้องประกอบไปด้วย

1. การทำ sitemap

sitemap หมายถึง ไฟล์ที่เก็บข้อมูลสรุปให้ Google ดูได้ง่าย ๆ ว่าภายในเว็บไซต์คุณประกอบไปด้วย URL ย่อย ๆ อะไรบ้าง เทียบได้กับสารบัญของหน้าหนังสือ ซึ่ง sitemap แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ Default และ Extension

ส่วนรูปภาพประกอบเว็บไซต์ จะเก็บรวมกับวิดีโอ ในส่วนของ Extension sitemap การ submit ส่วนนี้ จะช่วยให้ระบบ algorithm ของ Google วิเคราะห์รูปภาพของคุณได้ง่ายขึ้น โดยแนะนำตัวช่วยในการสร้าง sitemap คือ www.xml-sitemaps.com ที่มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำในราคาประหยัด

2. การอธิบายรูปภาพอย่างละเอียด

ควรใช้ฟังก์ชัน Alt Tag ใน wordpress และปลั๊กอิน Yoast SEO เพื่อใส่รายละเอียดของภาพให้มากที่สุด และจะช่วยในการวิเคราะห์ชี้จุดอ่อนให้ทราบว่า keywords สำหรับภาพนั้นควรแก้ไขจุดใด

ทั้งนี้ ควรเริ่มจากคำภาษาอังกฤษง่าย ๆ ที่สื่อสารให้เข้าใจได้ว่าในภาพมีใคร กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน ธีมภาพสีอะไร องค์ประกอบของสิ่งของเครื่องใช้ในภาพมีอะไรบ้าง ฯลฯ ไม่ควรใช้ภาษาไทย เพราะมีโอกาสสะกดผิดสูงและไม่เป็นสากล

3. การเลือกตำแหน่งในการวางภาพ

ควรให้อยู่ในย่อหน้าเดียวกับบทความที่เนื้อหาสอดคล้องกันเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องมีภาพประกอบในทุกย่อหน้าก็ได้ การเลือกตำแหน่งที่ดี จะช่วยให้ระบบ AI ของ Google วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Google image Search ลำดับบน ๆ มากขึ้นตามไปด้วย

สำหรับการตรวจสอบผลการทำ SEO รูปภาพ วิธีง่ายที่สุดในการเช็คว่า การปรับแต่งที่กล่าวมามีผลดีจริง ควรใช้ตัวช่วยที่เรียกว่า Google search Console ใน โดยเข้าไปที่หัวข้อ แผนผังไซต์ จะมีผลประมวลว่ามีรูปภาพจำนวนเท่าใดที่ส่งแล้ว มีกี่ภาพที่มีการทำดัชนีไว้เรียบร้อย หากตัวเลขมีมากเท่าไหร่ก็แสดงว่า ระบบ AI ของ Google มีการเก็บข้อมูลที่เป็นปัจจุบันตามการแก้ไขที่มากขึ้น จะส่งผลให้อันดับ SEO ของรูปภาพในเว็บไซต์คุณได้รับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีตามไปด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO เพื่อให้ภาพของคุณมีอันดับการสืบค้นใน Google image search ที่ดียิ่งขึ้น เป็นตัวช่วยที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักสร้างการจดจำแบรนด์และเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ตามมาคือ จะมีตัวเลขการขายสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

ทำ SEO อย่างไรให้ภาพโชว์บน Google image Search อันดับต้นๆ

เรียนรู้ การทำ SEO ให้รูปภาพในเว็บไซต์

การทำ SEO (search engine optimization) ให้เว็บไซต์ ตามระบบที่ Google กำหนด เป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้อันดับของเว็บไซต์ทางธุรกิจมีโอกาสในการถูกค้นเจอง่ายขึ้น ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการทำ SEO ให้กับบทความแล้ว ยังครอบคลุมถึงการทำ SEO ให้รูปภาพ การใช้เทคนิคแบบมืออาชีพที่จะทำให้รูปภาพต่าง ๆ ในเว็บไซต์ถูกต้องตามหลักการทำ SEO ดียิ่งได้ มีดังนี้

เทคนิคแบบมืออาชีพ ตามหลัก SEO

1. รูปที่เข้าถึงลูกค้า

ควรใช้รูปภาพที่ถ่ายทำขึ้นเอง โดยใช้คนไทยเป็นนายแบบนางแบบมาทำท่าทางประกอบต่าง ๆ เพราะจะได้รับความนิยมจากผู้อ่าน สื่อความหมายและมีอารมณ์ร่วมกับบทความมากยิ่งขึ้น ดีกว่าการซื้อภาพจากเว็บไซต์ขายภาพ ที่มักเป็นคนต่างประเทศมาแสดง จะทำให้เพิ่มการติดตามได้มากขึ้นในระยะยาว

2. ตั้งชื่อรูปภาพให้เหมาะสม

การตั้งชื่อรูปภาพในเว็บไซต์ SEO ควรจะใส่ keyword ที่สอดคล้องกันลงไปเสมอ โดยให้นึกถึงคำง่าย ๆ สั้น ๆ ว่าใครกำลังทำอะไรที่ไหนทำอย่างไร หรือเป็นคำที่สื่อถึงกิริยาท่าทางของคนในรูปภาพ จะสามารถช่วยให้บทความตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

3. ใส่ความหมายของธีม theme

ธีมหรือหมวดหมู่ของภาพเป็นสิ่งสำคัญที่เอามาตั้งชื่อภาพได้ เช่น ภาพอาหารก็สามารถใส่คีย์เวิร์ดได้ว่า เป็นธีมด้านสุขภาพ ผิวพรรณ ความงาม หากเป็นรูปของสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเขา ทะเล ก็สามารถใส่ธีมว่า พักผ่อน ท่องเที่ยว เดินทาง คลายเครียด ฯลฯ การใส่ theme ที่ดีจะทำให้ประเด็นของบทความและรูปภาพชัดเจนยิ่งขึ้น และตรงกับการพิมพ์ค้นหาจากลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น ทำให้อันดับ SEO สูงขึ้นตามไปด้วย

4. ใช้ชื่อรูปภาพเป็นภาษาอังกฤษ

ควรใช้คำภาษาอังกฤษที่เป็นการสื่อความหมายได้ง่าย เป็นคำศัพท์ในชีวิตประจำวัน เช่น ความรัก ก็ควรใช้คำว่า Love คำว่าความสุข ก็ใช้คำว่า happy ไม่จำเป็นต้องใช้คำยากหรือศัพท์ทางวิชาการ เพราะจะเข้าถึงการสืบค้นของกลุ่มผู้ใช้งานจริงได้ง่ายกว่า

5. ใส่แบรนด์ รุ่นสินค้า

หากเป็นรูปภาพของสินค้าที่มียี่ห้อ ก็ควรจะใส่ชื่อแบรนด์และรุ่นลงไปเป็นคีย์เวิร์ดในรูป เช่น รองเท้า กระเป๋า ของใช้ด้านกีฬา โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

6. ไม่ใช้ภาษาไทยในการตั้งชื่อภาพ

เนื่องจากการใช้ปลั๊กอิน All-in-one-wp migration ที่ต้องใช้ในการนำรูปอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์จะทำให้ตัวอักษรผิดเพี้ยนวรรณยุกต์หรือหายไปได้ จะทำให้ไม่สามารถตรงกับการสืบค้นได้จริง จึงควรเลือกใช้ตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษจะให้ผลดีกว่า

จะเห็นได้ว่า ตั้งชื่อภาพในเว็บไซต์ตามระบบ SEO มีความสำคัญต่อการทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น หวังว่าแนวทางที่นำเสนอข้างต้น จะช่วยให้ทุกท่านนำไปปรับใช้ได้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์มากขึ้นต่อไป

เทคนิคแบบมืออาชีพ ตามหลัก SEO