กูรูแนะนำว่าก่อนเปิดเว็บไซต์ออนไลน์ ควรศึกษาการทำ SEO

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีระบบอินเทอร์เน็ตสื่อสารความเร็วสูงที่ช่วยให้การสื่อสารคล่องตัวตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ซื้อและผู้ขายจากทั่วโลกสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันได้ด้วยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว ซึ่งในขณะที่มีข้อดี ก็มีข้อเสียตามมา คือ ทำให้มีคู่แข่งทางธุรกิจเกิดขึ้นมากด้วย

กูรูด้านการตลาดจึงแนะนำให้ผู้ที่สนใจการขายสินค้าออนไลน์ ควรศึกษาการทำ SEO ตั้งแต่ก่อนเปิดเว็บไซต์ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจและเพิ่มยอดขายได้ดีในระยะยาว

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้เว็บไซต์ออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่ทาง Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google ออกแบบมา เพื่อใช้ในการที่จะวิเคราะห์แยกแยะคุณภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ขายสินค้าแต่ละประเภท

หากเว็บไซต์ใดมีการพัฒนาอย่างรอบด้าน ตามที่ Search Engine กำหนด ก็จะสามารถทำให้ระบบ AI อัจฉริยะประมวลและวิเคราะห์ผลออกมาได้ว่าเป็นเว็บไซต์มีคุณภาพสูง ทำให้ถูกสืบค้นเจอได้ง่าย เป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าจอการสืบค้นของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ และจะนำมาซึ่งยอดขายที่ดีมากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับล่างลงไปหลายเท่าตัวทีเดียว

การทำ SEO ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ

1. On-Page SEO

เป็นการออกแบบเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการใช้งานจริงของผู้บริโภค ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของแต่ละเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น

การเลือกฟอนต์ตัวอักษร ธีมสีและออกแบบโลโก้ที่สื่อสารถึงแบรนด์ได้อย่างชัดเจน เช่น ธุรกิจที่ขายสินค้าออร์แกนิกไร้สารเคมี ก็ควรเลือกธีมสีที่เป็นโทนสีเขียว และโลโก้ที่อ่านง่ายดูสบายตา เพื่อแสดงถึงความเป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

การผลิตบทความที่มีคุณภาพโดยใช้ Keyword ที่วิจัยแล้วว่าตรงกับการสืบค้นของกลุ่มผู้บริโภค โดยมีการกระจาย Keyword ในเนื้อหาบทความอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ถูกระบบ Algorithm วิเคราะห์ว่าเป็นบทความขยะ หรือ Spam ได้

การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานของผู้บริโภคยุคปัจจุบันการทำ SEO ประกอบด้วย 2 ส่วน

2. Off-Page SEO

คือการสร้างลิงก์เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณกับเว็บไซต์ภายนอก เช่น ห้องแชทต่าง ๆ ใน Facebook หรือ Pantip ทำให้เกิดการขยายฐานลูกค้าได้กว้างขวางขึ้น และเกิดการจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น

การทำ SEO ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ให้แก่ Search Engine จึงเหมาะกับผู้ประกอบการรายใหม่ที่กำลังคิดทำเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือผู้ต้องการหารายได้เสริมจากการขายสินค้าออนไลน์

หวังว่าบทความนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่นักธุรกิจออนไลน์มือใหม่ทุกท่านในการทำ SEO ให้เว็บไซต์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว

วิธีการทำการตลาด เพื่อพัฒนาเว็บไซต์

การทำกิจการเว็บไซต์ขายของออนไลน์ในยุคปัจจุบันนี้ จำเป็นจะต้องพัฒนาทั้งด้านขององค์ความรู้ในการทำตลาด SEO และ SEM ร่วมกับการพัฒนาสินค้าให้มีความทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากที่สุด จึงจะทำให้กิจการอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้อย่างดี ในส่วนการทำ SEO และ SEM ยังมีผู้ขายสินค้าออนไลน์จำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความสงสัยว่าควรทำเทคนิค SEO หรือ SEM ให้แก่เว็บไซต์ดีกว่ากัน เราจึงได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปไว้ เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปพิจารณากัน ดังนี้

วิธีการทำการตลาด เพื่อพัฒนาเว็บไซต์

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำการตลาดที่เน้นการพัฒนาส่วนโครงสร้างของเว็บไซต์และการทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เช่น การทำบทความ SEO และสื่อวีดีโอที่มีคุณประโยชน์ ไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่นใด โดยการใช้ Keyword SEO ตรงกับการสืบค้นของลูกค้าเป้าหมายเป็นแกนของเรื่อง

เมื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทำการสืบค้นโดยใช้ Keyword SEO ดังกล่าว ก็จะปรากฏเว็บไซต์ของคุณอันดับต้น ๆ ทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือและเพิ่มยอดการขายได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ การทำ SEO ก็มีข้อจำกัด คือ ต้องใช้เวลาในการผลิตบทความจำนวนมากพอที่จะสะสมข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ระบบอัลกอริทึมของ Search Engine ทำการประมวลและจัดอันดับ SEO ออกมา จึงใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผลในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเห็นผลไว จะต้องทำ SEO ควบคู่กับเทคนิค SEM หรือ Search Engine Marketing คือการซื้อพื้นที่โฆษณา ที่ช่วยเสริมสร้างการรับรู้ของลูกค้าเป้าหมายในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ เช่น การจัด Event การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย การเปิดตัวสินค้าใหม่ ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธีที่ทั่วโลกใช้กัน เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันกับแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดเดิม (ของสินค้าประเภทเดียวกัน) เช่น กลุ่มเครื่องสำอาง รองเท้าแฟชั่น ของใช้อุปโภคบริโภค ฯลฯ

ทั้งนี้ การสร้างแบรนด์ใหม่ที่ต้องการให้เกิดการจดจำและก็เกิดการบอกต่ออย่างรวดเร็ว หากใช้วิธี SEM จะมีการเสียค่าใช้จ่ายในระบบ Pay Per Click หรือ PPC ให้แก่ Bing, Yahoo หรือ Google และต้องมีการประมูลกับคู่แข่งแบรนด์อื่น ที่ต้องการใช้ Keyword SEO คำเดียวกันด้วย ท่านที่ต้องการประชาสัมพันธ์แบบ SEM จึงควรควรเตรียมค่าใช้จ่ายสำรองเอาไว้ เพื่อการส่งเสริมการขายอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะมีความคุ้มค่ามาก หากทำให้มีรายได้หรือกำไรที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในช่วงสั้น ๆ นี้

กล่าวได้ว่า SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ และต้องมีการวางแผนอย่างเหมาะสม จึงจะทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเว็บไซต์จนประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ เลือก ควรทำ SEO หรือ SEM วิธีใดดีกว่ากัน