3 ประเด็นที่ต้องใส่ใจ หากจะทำ SEO และ SEM

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากทั้งคู่ในปัจจุบัน เพราะการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้แต่การจองซื้อรถยนต์ยังเกิดขึ้นบนเว็บไซต์มากมาย อัตราการแข่งขันทางการตลาดโลกออนไลน์จึงสูงขึ้นมาในสินค้าทุกประเภท เรามาดูกันว่า มีประเด็นใดบ้างที่ต้องใส่ใจหากจะทำ SEO และ SEM

ประเด็นที่ 1 การเข้าถึงลูกค้า
ตามหลักการ SEO แล้ว คีย์เวิร์ดเป็นเหมือนหัวใจในการเข้าถึงลูกค้า เพราะทุกบทความบนเว็บไซต์ต้องมีคีย์เวิร์ดที่เป็นแก่นของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแนวรีวิวสินค้า ความรู้เชิงวิชาการทางแพทย์ กฎหมาย แฟชั่น ฯลฯ ส่วน SEM เป็นเทคนิคประชาสัมพันธ์ทางการตลาดออนไลน์ ที่ไม่ได้มาจากการจัดอันดับของคุณภาพเว็บไซต์ SEO โดยตรง แต่เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณา ที่ต้องมีการประมูลสำหรับคีย์เวิร์ดเดียวกันกับ SEO เพื่อได้พื้นที่ประชาสัมพันธ์ด้านบน ๆ ของหน้าจอ google โดยต้องจ่ายแบบ Pay Per Click ตามจำนวนครั้งการคลิกเข้าไปชมอีกด้วย

ประเด็นที่ 2 ตัววัดความสำเร็จ
เว็บไซต์ที่ทำ SEO อาจจะไม่จำเป็นต้องมีสินค้าและบริการโดยตรงแบบการขายของบน Lazada Shopee ก็ได้ เพราะสิ่งตอบแทนจากการเข้าเว็บไซต์อาจเป็นในแง่อื่น ๆ ตามวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ของการสร้างเว็บนั้น ๆ เช่น เพื่อเพิ่มชื่อเสียงแก่แบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นให้อยากมาตรวจสุขภาพและฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล ทั้งยังคาดหวังว่าผู้อ่านจะช่วยกันแชร์บอกต่อบทความไปแพลตฟอร์มอื่น อันทำให้เพิ่ม traffic ต่อหน้าเพจนั้น ๆ และท้ายที่สุด คือ การได้ค่าโฆษณาจาก Google adsense ในทางอ้อม ซึ่งเป็นแบบ passive income รายได้ไม่จำกัดตามคุณภาพ SEO ส่วนด้าน SEM เป็นกลยุทธ์ของเว็บไซต์ที่ต้องการเจาะตลาดลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ประเมินไว้แล้วว่ากำไรส่วนต่างที่เหลือต้องได้มากกว่าค่าโฆษณาที่เป็นต้นทุนค่อนข้างสูง

ประเด็นที่ 3 ความเชื่อมั่นต่อเว็บไซต์
ผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจออนไลน์อยู่แล้วย่อมรู้จัก SEO เป็นอย่างดี หากพิมพ์ใน Google แล้วพบเว็บไซต์ใด ๆ เรียงจากบนลงไปล่าง โดยไม่มีคำว่าโฆษณาติดอยู่ ย่อมหมายถึง คุณภาพเว็บไซต์ที่ดีมีเนื้อหาบทความที่น่าสนใจอันดับต้น ๆ 1 2 3 ย่อมเป็นประโยชน์กับผู้อ่านมากกว่าอันดับรองลงไปเรื่อย ๆ หรืออยู่ในหน้าหลัง ๆ ของกูเกิ้ล ส่วนบุคคลทั่วไปที่ค้นหาข้อมูลใน google เช่นพิมพ์คำว่า อาหารเสริม ก็แสดงถึงความสนใจอยากซื้อสินค้านั้น ๆ เป็นทุนเดิม จะไม่สนใจคำว่าโฆษณาใกล้ลิงก์เว็บไซต์ที่มาจาก SEM มักคลิกเข้าไปเพื่อหาข้อมูลที่ตนเองอยากอ่านและอยากดูโปรโมชั่นที่มี ณ ขณะนั้นเลย

กล่าวได้ว่า SEO และ SEM เป็นสิ่งที่คนทำการตลาดออนไลน์ต้องสนใจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ที่ต้องการควบคุมต้นทุนในยุค covid และ New Normal จากนี้ไป ที่ควรศึกษาทางด้านสถิติการตลาด คำนวณต้นทุนรายรับรายจ่ายที่เหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เทคนิค (ไม่) ลับ SEO สำหรับตลาด SME
เทคนิค (ไม่) ลับ SEO สำหรับตลาด SME

ในปัจจุบันมีธุรกิจแบบ Small and Medium Enterprise หรือ SME ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีขนาดกลางและขนาดย่อมที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มการผลิต การบริการและการค้า จำนวนมากขึ้น ทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูง การทำเว็บไซต์จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยเรื่องการโฆษณาให้กับธุรกิจให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่ง SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด โดยเทคนิคในการทำ SEO สำหรับการตลาด SME มีดังนี้

วิเคราะห์คู่แข่ง ในอดีตการวิเคราะห์คู่แข่งอาจหมายถึงการทดลองซื้อสินค้า หรือใช้บริการของคู่แข่งเพื่อให้ทราบจุดอ่อนจุดแข่ง แต่สำหรับการวิเคราะห์ความนิยมของเว็บไซต์คู่แข่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ Google Trend เพียงกรอก URL ของเว็บคู่แข่งและเว็บไซต์ของเราก็ทำให้ทราบว่าเว็บไซต์ของใครกำลังเป็นที่นิยม

เลือกใช้ Long tail Keyword เพื่อทำการตลาด เนื่องจากโดยส่วนใหญ่ธุรกิจแบบ SME เป็นเศรษฐกิจท้องถิ่น ทำให้การใช้ Long tail Keyword และแทรก Location ลงไป จะทำให้คนในท้องถิ่นรู้จักสินค้าหรือบริการมากขึ้น เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น พิษณุโลก, ช่างไฟฟ้า ในตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ความเฉพาะเจาะจงเป็นสิ่งที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าสินค้าหรือบริการนั้นเกิดมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นโดยเฉพาะ

แทรก Keyword ลงในสื่อโซเชียลมีเดีย การทำการตลาดที่ดีไม่ควรจำกัดอยู่ในช่องทางเดียว การทำการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียอื่น เช่น Facebook, Line@ และ Instagram ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น โดยวิธีการทำ SEO บน Social media อื่น ๆ เพียงโพสต์ Content และแทรก Keyword ลงในชื่อและเนื้อหาของ Content นั้น

ทำเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับสมาร์ทโฟน ปัจจุบันสมาร์ทโฟนถือเป็นอุปกรณ์หลักที่คนจำนวนมากใช้งาน การทำเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับสมาร์ทโฟนจึงเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ทันที

อัปเดตคอนเทนต์สม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงเรื่องราวที่น่าสนใจได้เสมอและยังทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในสินค้าหรือบริการของบริษัทหรือร้านค้า โดยการเขียนคอนเทนต์ที่ดีควรมีจำนวนคำมากกว่า 300 คำขึ้นไปและหากทำ VDO Content ควรมีความยาวประมาณ 3 นาทีเป็นอย่างน้อย โดยต้องแทรก Keyword หลายแบบ เพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น

สร้างคอนเทนต์ด้วยเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ วิธีหาหัวข้อคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจสามารถหาได้จากการนำ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายค้นหาใน Search Engine และมองหาหัวข้อคำถามที่กลุ่มเป้าหมายเคยมีการตั้งกระทู้ถามในสื่อต่าง ๆ มาใช้

การทำการตลาดด้วย SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการเข้าถึงจากกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายหรือกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่คนมักเห็นจากหนังสือและเว็บไซต์แนะนำการทำตลาดบนอินเทอร์เน็ต แต่อาจไม่ทราบว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เราจึงรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาไว้ที่นี่ ดังนี้

SEO

การทำ SEO หรือ search engine optimization เป็นการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและการใส่รายละเอียดด้านต่าง ๆ ลงในเว็บไซต์ เพื่อให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ที่ search engine อย่าง Google ซึ่งนับเป็น search engine ที่คนไทยนิยมอันดับหนึ่งในการค้นหาข้อมูล

ซึ่งเทรนด์ในปี 2020 เจ้าของเว็บไซต์ต้องเน้นทำ SEO ที่มีเนื้อหาหลายหลาย เพิ่มมัลติมีเดีย โดยต้องมีการวิจัย keyword ที่ตรงกับการสืบค้นมากขึ้น แบบ Niche-longtail keyword ออกแบบสีสันและฟอนต์เว็บไซต์ให้สวยงามทั้งในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ เพราะ 9 ใน 10 คนที่มีกำลังซื้อสูงมักใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือพกพา

นอกจากนี้ การทำลิงก์เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้ากับเว็บไซต์ทางธุรกิจ เพื่อให้เพิ่มความน่าเชื่อถือและเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นก็สำคัญเช่นกัน โดยตัวช่วยที่ดีสำหรับการทำ SEO คือ Yoast SEO ที่ช่วยปรับแต่งรายละเอียดได้อย่างรวดเร็ว

SEM

การทำ SEM หรือ search engine marketing เป็นการตลาดที่เห็นผลอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการประมูลพื้นที่โฆษณา ที่ต้องมีการแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่หวังจะใช้ keyword เดียวกัน ดังนั้น หากเป็นคำศัพท์ที่มีการที่มีอัตราการพิมพ์ค้นหาสูง ก็ทำให้ต้องมีเงินค่าใช้จ่ายสำรองในการประมูลสูงขึ้น

เมื่อได้พื้นที่ประมูลมาแล้วจะเท่ากับมีโอกาส 100 เปอร์เซ็นต์ที่ผู้ค้นหาผ่านช่อง search ใน Google จะเห็นเว็บไซต์ปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ เสมอ ซึ่งทุกครั้งที่มีคนคลิกเข้าไปชมในเว็บไซต์ ก็จะต้องจ่ายเงินแบบ pay per click หรือตามรายครั้งการคลิก ให้แก่ Google ด้วย

การทำ SEM เป็นการเพิ่มโอกาสที่สูงมาก ในการได้รับออเดอร์สินค้าในเวลาเพียงแค่ 1-2 วันหลังจากการทำโฆษณา ต่างจากการทำ SEO ที่ต้องรอนานและต้องมีความสม่ำเสมอสูงในการนำเสนอข้อมูลใหม่ ๆ การทำ SEM เป็นสิ่งที่จะทำหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เงินงบประมาณและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ว่ามีความคุ้มค่าต่อธุรกิจหรือช่วยสร้างชื่อเสียงให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว

การทำ SEO และ SEM มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป แต่ก็สามารถทำร่วมกันได้ในธุรกิจเว็บไซต์เดียวกัน ต้องวางแผนให้ดีว่าควรทำ SEM เสริมในช่วงเทศกาลใด เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ วาเลนไทน์ คริสต์มาส หรือช่วงปลายเดือนที่คนส่วนใหญ่มีกำลังทรัพย์สูงขึ้น

ผู้ที่ศึกษาให้ทราบถึงหลักการทำ SEO กับ SEM อย่างละเอียด จะนำจุดดีของทั้งสองวิธีนี้มาผสมผสานกัน ทำให้มียอดขายที่สูงขึ้นได้และมีคนรู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้สนใจทำเว็บไซต์ออนไลน์เห็นความแตกต่างของการตลาดทั้งสองแบบ และเป็นแนวทางในการเลือกวิธีที่เหมาะกับธุรกิจของคุณได้มากที่สุด

SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์

วิธีการทำการตลาด เพื่อพัฒนาเว็บไซต์

การทำกิจการเว็บไซต์ขายของออนไลน์ในยุคปัจจุบันนี้ จำเป็นจะต้องพัฒนาทั้งด้านขององค์ความรู้ในการทำตลาด SEO และ SEM ร่วมกับการพัฒนาสินค้าให้มีความทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากที่สุด จึงจะทำให้กิจการอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้อย่างดี ในส่วนการทำ SEO และ SEM ยังมีผู้ขายสินค้าออนไลน์จำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความสงสัยว่าควรทำเทคนิค SEO หรือ SEM ให้แก่เว็บไซต์ดีกว่ากัน เราจึงได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปไว้ เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปพิจารณากัน ดังนี้

วิธีการทำการตลาด เพื่อพัฒนาเว็บไซต์

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำการตลาดที่เน้นการพัฒนาส่วนโครงสร้างของเว็บไซต์และการทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เช่น การทำบทความ SEO และสื่อวีดีโอที่มีคุณประโยชน์ ไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่นใด โดยการใช้ Keyword SEO ตรงกับการสืบค้นของลูกค้าเป้าหมายเป็นแกนของเรื่อง

เมื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทำการสืบค้นโดยใช้ Keyword SEO ดังกล่าว ก็จะปรากฏเว็บไซต์ของคุณอันดับต้น ๆ ทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือและเพิ่มยอดการขายได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ การทำ SEO ก็มีข้อจำกัด คือ ต้องใช้เวลาในการผลิตบทความจำนวนมากพอที่จะสะสมข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ระบบอัลกอริทึมของ Search Engine ทำการประมวลและจัดอันดับ SEO ออกมา จึงใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผลในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเห็นผลไว จะต้องทำ SEO ควบคู่กับเทคนิค SEM หรือ Search Engine Marketing คือการซื้อพื้นที่โฆษณา ที่ช่วยเสริมสร้างการรับรู้ของลูกค้าเป้าหมายในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ เช่น การจัด Event การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย การเปิดตัวสินค้าใหม่ ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธีที่ทั่วโลกใช้กัน เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันกับแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดเดิม (ของสินค้าประเภทเดียวกัน) เช่น กลุ่มเครื่องสำอาง รองเท้าแฟชั่น ของใช้อุปโภคบริโภค ฯลฯ

ทั้งนี้ การสร้างแบรนด์ใหม่ที่ต้องการให้เกิดการจดจำและก็เกิดการบอกต่ออย่างรวดเร็ว หากใช้วิธี SEM จะมีการเสียค่าใช้จ่ายในระบบ Pay Per Click หรือ PPC ให้แก่ Bing, Yahoo หรือ Google และต้องมีการประมูลกับคู่แข่งแบรนด์อื่น ที่ต้องการใช้ Keyword SEO คำเดียวกันด้วย ท่านที่ต้องการประชาสัมพันธ์แบบ SEM จึงควรควรเตรียมค่าใช้จ่ายสำรองเอาไว้ เพื่อการส่งเสริมการขายอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะมีความคุ้มค่ามาก หากทำให้มีรายได้หรือกำไรที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในช่วงสั้น ๆ นี้

กล่าวได้ว่า SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ และต้องมีการวางแผนอย่างเหมาะสม จึงจะทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเว็บไซต์จนประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ เลือก ควรทำ SEO หรือ SEM วิธีใดดีกว่ากัน