seo no rank

หลายเว็บไซต์ไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันเว็บให้ติดอันดับผลการค้นหาหน้าแรกของ Google ทั้งที่ลองทำตามเทคนิคที่แนะนำกันมาแล้ว แต่ยังติดอันดับหน้าแรกไม่ได้ เกิดจากปัญหาอะไรกันแน่และควรปรับแก้ไขอย่างไร เรามาหาคำตอบไปด้วยกัน

การทำ SEO ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

เพราะการจัดอันดับของเสิร์จเอนจินขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นที่มีต่อเว็บไซต์ ไม่เฉพาะการออกแบบเว็บไซต์ที่มีประโยชน์และสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้เข้าใช้งานเท่านั้น แต่ยังต้องมีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย มีการเชื่อมโยงกันและเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพ และบทความที่มีเนื้อหาน่าอ่านและข้อมูลทันสมัยด้วย ตลอดจนการแสดงผลบนมือถือที่เป็นอีกจุดสำคัญในปัจจุบัน แม้ว่าจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยออกแบบเว็บไซต์และทำ SEO ให้ แต่การพิจารณาความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ยังคงต้องใช้เวลาสำหรับการประเมินพอสมควร

จำนวนคนเข้าใช้งานเว็บไซต์ไม่มากพอ

ทุกวันนี้มีบริการทำ SEO ให้เลือกมากมาย จ้างคนมีความรู้และประสบการณ์มาทำแทนจะส่งผลดีให้เว็บไซต์ได้รับความสนใจมีผู้เข้าชมจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะสร้างกระแสบวกทำให้ได้รับการประเมินอันดับที่ดีขึ้นจากเสิร์จเอ็นจิน สาเหตุที่จำนวนผู้ใช้งานไม่มากส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การเลือกคีย์เวิร์ด การเขียนบทความ หรือแม้แต่การเลือกรูปภาพลงในเว็บไซต์ไม่สอดคล้องกับความสนใจ ลูกค้าจึงไม่คลิกเข้าไปในเว็บ การเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงใจหรือเลือกรูปภาพที่ดึงดูดจะกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายสนใจเข้ามาดูเว็บไซต์มากขึ้น แม้ว่ายังพิสูจน์ได้ไม่ชัดเจนว่าจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ส่งผลต่ออันดับมากน้อยแค่ไหน รู้ไว้ข้อนึงว่ายิ่งเว็บมีคนเข้าเยอะ แม้จะมาจากคำค้นหาย่อยรวมๆกัน แต่มันจะช่วยดันคีย์หลักได้ไวยิ่งขึ้น ทำให้เราอาจเห็นหลายเว็บไซต์มีการโปรยคำรอง เช่น สเต็ป69 บอลเสต็ป บอลเด็ด แทนที่จะใช้ทำอันดับแต่คำว่าวิเคราะห์บอลเพียงอย่างเดียว เท่าที่ผ่านมาพบว่าเว็บไซต์ที่คนรู้จักมากมักจะติดอันดับที่ดีเสมอ ยิ่งคนเข้ามามากโอกาสเสนอขายก็เพิ่มมากขึ้น ปิดยอดขายได้อย่างรวดเร็วง่ายดายด้วย

หลักการถูกต้องแต่ไม่เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท

การทำ SEO ของธุรกิจแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกัน หากจะใช้หลักการเดียวกันทั้งหมดก็คงไม่ได้มีผลเท่าเทียมกันหรือพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น การเลือกคีย์เวิร์ดของสินค้าหรือบริการ ในแต่ละเว็บไซต์ยังเลือกใช้คีย์เวิร์ดแตกต่างกัน บางคำใช้ดี บางคำใช้ไม่ได้ผล บางเว็บจำเป็นต้องใช้คีย์เวิร์ดยาวเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น การทำ SEO บางครั้งก็ต้องลองผิดลองถูกบ้าง เช็กคีย์เวิร์ดในเว็บคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จว่ามีคำใดที่มีการแข่งขันสูงและมีผลต่อธุรกิจมาก สามารถนำมาใช้ได้ผลกับธุรกิจในตลาดเดียวกัน ถ้าบรรดาคู่แข่งล้วนเป็นผู้นำตลาด ซึ่งหากเราเป็นธุรกิจมาใหม่ก็อาจไม่สามารถเทียบรุ่นได้ในระยะเวลาอันสั้น การจ้างมืออาชีพในช่วยทำ SEO ให้จะไม่เสียเวลาและไม่เปลืองแรง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมืออาชีพและโฟกัสเฉพาะการทำธุรกิจแทน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ลองวิเคราะห์ปัญหาทั้ง 3 ข้อข้างต้นว่าเข้าข่ายทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ติดอันดับผลการค้นหาหรือไม่ อย่ากังวลมากจนตั้งใจทำเรื่องที่ผิดกฎของเสิร์ชเอ็นจิ้น การทำตามกติกาและปรับแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้จะช้าแต่ไม่เสี่ยงถูกลงโทษถอดออกจากดัชนีผลการค้นหา

11 ข้อควรอ่าน สำหรับคนที่ลังเลเรื่อง SEO

การทำ SEO ถือได้ว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับใครหลายคน ที่ต้องมีการลงทุนทั้งเวลาและเงินทุนสำหรับการทำเว็บไซต์แนวใหม่ที่ยังไม่สามารถเห็นผลในทันที เราจึงได้นำ 11 ข้อดีของการทำ SEO มาให้คนที่ยังลังเลใจได้พิจารณากัน ดังนี้

ควรอ่าน สำหรับคนที่ลังเลเรื่อง SEO

1. SEO เป็นการลงทุนที่ประหยัดกว่าการจ้างบริษัททำการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ด้วยวิธีอื่น ๆ ทั้งการจ้างพรีเซนเตอร์ การโฆษณา ติดแบนเนอร์ ฯลฯ

2. กลุ่มลูกค้ายุคใหม่ เป็นรุ่นมิลเลเนียม ซึ่งสนใจสาระของบทความมากกว่าการนำเสนอของพรีเซนเตอร์ที่อาจมีการอวดอ้างสรรพคุณของสินค้าและบริการ ซึ่งการทำ SEO จะตอบโจทย์ในด้าน content SEO ที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี

3. หากทำ SEO ในบทความได้อย่างต่อเนื่อง จะเท่ากับเราได้ลูกค้าประจำจำนวนหนึ่งจากความประทับใจในความรู้หรือเทคนิคที่พร้อมใช้หรือ ready to use

4. ลูกค้าจำนวนไม่น้อยใช้มือถือในการค้นหาเว็บไซต์ที่มีสินค้าและบริการด้านต่าง ๆ การทำ SEO จึงควรสร้างรูปแบบที่เหมาะกับมือถือ smartphone ด้วย

5. การดูผลลัพธ์ของ SEO ต้องใช้ระยะเวลาบ้าง ต่างจากการติดแบนเนอร์หรือโฆษณาแบบอื่น ๆ เนื่องจากเป็นการเพิ่มดาต้าเข้าสู่ระบบประมวลข้อมูลของ search engine

6. เมื่อคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาว SEO ถือได้ว่าตอบโจทย์ทั้งรายได้และภาพลักษณ์ที่ทันสมัยของสินค้า

7. ไม่มีใครผูกขาดอันดับการสืบค้นได้ เนื่องจากระบบประมวลและวิเคราะห์ดาต้าของ search engine มีความซับซ้อนและเป็นอัตลักษณ์ ไม่ว่าธุรกิจใด ๆ ก็สามารถชิงชัยอันดับการสืบค้นเป็น top5 top10 ได้เท่า ๆ กัน

8. การทำ SEO เป็นหนึ่งในการยกระดับเว็บไซต์บริษัทให้มีมาตรฐานสูงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่มาตรฐานที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคตของ search engine ด้วย

9. ลูกค้าเก่าก็รักษาไว้ ลูกค้าใหม่ก็ยังได้ด้วย เป็นผลที่ตามมาจากการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง เพราะทำให้ถูกจัดอันดับได้สูงและนำมาซึ่งความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มักบอกต่อ ๆ กัน

10. ลดการก๊อปปี้งานได้ หากคุณเป็นคนที่ทำเนื้อหาดี ๆ แล้วกังวลว่าจะมีผู้คัดลอกงานไป การมีระบบตรวจสอบด้าน SEO ของ search engine จะเป็นเหมือนตัวช่วยในการกลั่นกรองและกำจัดเว็บไซต์จอมลอกได้ในที่สุด

11. การนำเสนอสินค้ารูปแบบใหม่ เช่น แพคเกจจิ้งใหม่ ๆ กลิ่นและรสชาติเมนูอาหารแปลกใหม่ จะเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย หากเป็นเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ ด้วยการทำ SEO อย่างเป็นระบบ

11 ข้อควรอ่าน สำหรับคนที่ลังเล SEO

หวังว่าทั้ง 11 ข้อดีของการทำเว็บไซต์หรือเพจให้เป็นตามระบบ SEO จะเป็นข้อมูลที่ทำให้นักธุรกิจออนไลน์มือใหม่ตัดสินใจง่ายขึ้นกับการลงทุนทำในส่วนนี้

8 สิ่งที่คุณจะพลาดหากไม่ทำเว็บไซต์ระบบ SEO

8 สิ่งที่คุณจะพลาดหากไม่ทำเว็บไซต์ระบบ SEO

การทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบัน นิยมทำเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบ SEO กันมากขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขายและเสริมภาพลักษณ์ที่ดีทางธุรกิจในระยะยาว แต่ก็ยังมีนักธุรกิจออนไลน์บางท่านยังไม่มั่นใจในการทำ SEO เราจึงได้รวบรวม 8 สิ่งที่คุณจะพลาดหากไม่ปรับเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบ SEO มาฝากกัน

1. พลาดการเพิ่ม traffic ในการเข้าชมเว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์ของคุณจะไม่ได้ถูกนำเสนอในอันดับต้น ๆ ของการสืบค้นทาง search engine และแน่นอนว่าโอกาสในการขายสินค้าจะน้อยลงเรื่อย ๆ หากเว็บไซต์คุณตกไปอยู่ในหน้าท้าย ๆ ของคีย์เวิร์ดที่สืบค้น

2. พลาดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพราะไม่มีการปรับคีย์เวิร์ดให้ตรงใจผู้บริโภคสินค้าของคุณ จึงแทบไม่มีโอกาสในการพบหรือ matching กันทางออนไลน์เลย

3. พลาดความประทับใจ เพราะเว็บไซต์ในระบบเก่า ๆ จะเน้นที่ปริมาณแบนเนอร์ หรือการแนบลิ้งค์โฆษณา ซึ่งเป็นปัญหาทำให้ผู้บริโภคเกิดความรำคาญและรบกวนต่อระบบการสืบค้น หากเว็บไซต์คุณยังเป็นเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าล้าสมัยและย่อมไม่เป็นที่ประทับใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแน่

4. พลาดความน่าเชื่อถือ เพราะการที่ไม่มี SEO รองรับในระบบทั้งส่วนเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ จะทำให้การจัดอันดับหล่นไปรั้งท้าย และทำให้เสียความน่าเชื่อถือไป โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง คุณย่อมเสียลูกค้าให้บริษัทที่ได้อันดับ 1-10 ของการสืบค้นอย่างแน่นอน

คุณจะพลาดหากไม่ทำเว็บไซต์ระบบ SEO

5. พลาดการโปรโมตแบบ 24 ชั่วโมง เพราะจะไม่ถูกนำเสนอในผลการสืบค้นหน้าแรก ๆ คุณจะเสียตำแหน่งการนำเสนอนี้ไปให้แก่เว็บไซต์ที่มีระบบ SEO รองรับ และย่อมสัมพันธ์กับรายได้ที่จะลดลงไปด้วย

6. พลาดการประหยัดเงินในกระเป๋าสตางค์ คุณอาจไม่รู้ว่าการทำ SEO กับบริษัทที่มีคุณภาพ จะทำให้สัญญาราย 6 เดือนหรือราย 1 ปีมีความประหยัดสุดคุ้ม เมื่อเทียบกับการซื้อโฆษณาหรือการจ้างโปรโมตชนิดอื่น ๆ

7. พลาดการพัฒนาเว็บไซต์ ทำให้ธุรกิจคุณจะค่อนข้างล้าหลัง หรือเดินตามแบรนด์อื่นในหมวดหมู่สินค้าและบริการอย่างเดียวกัน ทำให้ต้องเสียโอกาสในการขายทั้งวันนี้และวันหน้า และทำให้ต้องเสียเวลาและค่าจ้างครั้งใหญ่ในอนาคตเพื่อการยกเครื่องเว็บไซต์

8. พลาดโอกาสโกอินเตอร์ เพราะการที่ไม่ทำระบบ SEO จะทำให้เกิดความผิดพลาดในการตั้งโค้ดหรือการเชื่อมโยงกับลิ้งค์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ ERROR ด้านตัวอักษรหรือภาษาที่ใช้ เท่ากับคุณจะเสียลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่อยู่ทั่วโลกเลยทีเดียว

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 8 สิ่งที่คุณจะต้องพลาดไปหากไม่ทำเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบ SEO หวังว่าจะทำให้นักธุรกิจหลายท่านได้ตระหนักในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้สามารถยืดหยัดในธุรกิจออนไลน์ได้อย่างสวยงามตลอดไป

พลาดหากไม่ทำเว็บไซต์ระบบ SEO

งานแนว SEO ทำได้ไม่ยาก แค่รู้หลัก

งานแนว SEO ทำได้ไม่ยาก แค่รู้หลัก

ปัจจุบันช่องทางอาชีพใหม่ที่เกิดขึ้นตามมากับการขายของออนไลน์ คือการทำเว็บไซต์และการเขียนบทความแบบ SEO ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีพื้นฐานความสนใจด้านการออกแบบเว็บไซต์หรืองานเขียนอยู่แล้ว คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

เราจึงได้รวบรวมหลักการอย่างง่ายที่ทำให้ผู้ที่สนใจทำงานที่เกี่ยวกับ SEO เป็นอาชีพเสริม สามารถต่อยอดได้ไม่ยาก

1. หน้าตาเว็บไซต์ต้องผ่านเกณฑ์

สำหรับผู้รับจ้างทำเว็บไซต์ Search engine ที่คนนิยมใช้ทั่วโลกอย่างกูเกิ้ลได้มีข้อกำหนดมาตรฐานของ “หน้าร้านออนไลน์” เปรียบได้กับมาตรฐานผู้ประกวดนางงาม นั่นคือ ทั้งการตั้งชื่อ URL ในการสืบค้น การตั้งชื่อหัวข้อ (Title) และส่วนเนื้อหารวมสรุป (Description) ต้องมีความเหมาะสม

2. ความเป็นเอกลักษณ์ในเนื้อหา

การเป็นนักเขียนแนว SEO จำเป็นต้องมีความ unique ในเนื้อหา เปรียบได้กับคุณสมบัติเฉพาะของผู้เข้าประกวดนางงามแต่ละคน หากจะทำโบท็อกซ์หรือศัลยกรรมมา ก็ต้องมีความแนบเนียนสวยงาม และมีเอกลักษณ์ที่ไม่ใช่ว่าเกิดการทำเป็นหน้าบล็อกเดียวกันหมด ซึ่งในทางการเขียนบทความเรียกว่า plagiarism ซึ่งสามารถถูกเช็คได้ง่าย ๆ ก่อนในเบื้องต้น และถูกตรวจจับอย่างแน่นอนในบอทของ search engine ซึ่งจะส่งผลต่อการ degrade อันดับของเว็บไซต์คุณด้วย

3. เลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่

การทำคอนเทนต์ นอกจากต้องมีความเป็นอัตลักษณ์ในเนื้อหาแล้ว ยังต้องแทรกคีย์เวิร์ดที่ ‘ใช่’ ในการสื่อสารตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น บทความเรื่องนางงาม ก็ควรมีคีย์ “นางงาม” “ประกวด” “รางวัล” เป็นต้น

4. การมีลิ้งค์พันธมิตร

การมี link เชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการขาย หรือที่เรียกกันทับศัพท์มานานว่า Backlink เป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEO แต่ไม่ใช่การเน้นปริมาณอย่างในอดีตอีกต่อไป เนื่องจากผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายยุค millennial ต้องการความจริงใจ มีเนื้อหาสาระที่ทำให้รู้สึกว่าไม่เสียเวลา ได้ประโยชน์ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงการ “แชร์ต่อ” ด้วย

ทำงานที่เกี่ยวกับ SEO

5. ตำแหน่งของคีย์

การใส่คีย์ที่เหมาะสมลงในเนื้อหา content เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในการทำ SEO เนื่องจากการแสดงผลจะใช้ย่อหน้าแรกเป็นหลัก และหากใช้โปรแกรมสำเร็จที่ชื่อ “WORDPRESS” ก็จำเป็นอย่างมากในการโชว์เนื้อหาคีย์ในส่วนแรกนี้

6. ความยาวเนื้อหา

ควรวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ เป็นผู้อ่านกลุ่มใด ใช้ไลฟ์สไตล์แบบไหนเป็นสิ่งสำคัญ การให้เวลากับการอ่านแต่ละบทความ โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ใช้เวลา 3 – 5 นาทีต่อหน้าเว็บไซต์หนึ่ง ๆ เพื่อกวาดสายตาและประมวลความคิดในสิ่งที่สนใจ การมีเนื้อหายาวเวิ่นเว้อ นอกจากจะทำให้ผู้อ่านไม่สบอารมณ์แล้ว ยังจะเป็นการเสียลูกค้าไปอย่างถาวรได้ (คือ ไม่คลิกเข้ามาอีกแล้ว) ทั้งนี้หากบทความเป็นเกรดพรีเมี่ยม เช่น เชิงลึก เชิงวิชาการเฉพาะ พบว่าความยาวเฉลี่ยที่ประมาณ 1900 คำ เป็นความยาวที่ช่วยให้อันดับจากการทำ SEO สูงขึ้นมาก

เป็นอย่างไรบ้าง กับหลักพื้นฐาน 6 ข้อ ที่เรานำมาเสนอ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ SEO ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเว็บไซต์ การเขียน content SEO ซึ่งยังมีแนวโน้มไปได้ยาวไกลในสายงานธุรกิจออนไลน์

วิธีช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

วิธีช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

หากคุณเปิดเว็บไซต์จำหน่ายสินค้าเกรดเอที่ใคร ๆ ก็เรียกร้องต้องการ โพสต์บทความคุณภาพมีประโยชน์และน่าอ่าน เลือกคีย์เวิร์ดเหมาะสมรองรับการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์คุณมีโอกาสติดหน้าแรกแล้ว แต่มาตกม้าตายตอนจบ เพราะเว็บโหลดช้าทำความลำบากและรำคาญให้ลูกค้า ซึ่งเปลี่ยนใจไปค้นหาสิ่งที่ต้องการในเว็บคู่แข่งแทน โจทย์นี้แก้ไขอย่างไร เรามีคำตอบให้คุณ

เพราะธุรกิจออนไลน์มีการแข่งขันสูง ถ้ามีจุดอ่อนทางใดทางหนึ่ง คู่แข่งที่เปิดเว็บค้นหาแบบเดียวกันก็ช่วงชิงแบ่งส่วนแบ่งตลาดไปรวดเร็ว หากเว็บโหลดช้าเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการจัดอันดับใน Google ด้วย หากไม่ปรับปรุง เว็บจะถูกร่นอันดับตกลงไปหลายหน้า ทุกคนใช้งานเสิร์จเอนจินต้องการความเร็ว ถ้าเว็บช้าเป็นเต่า การทำ SEO ที่ดีแทบจะไม่มีประโยชน์เลย เจ้าของเว็บไซต์ควรท่องเว็บของตนเองและพิจารณาในมุมมองของผู้บริโภคคำนึงถึงพฤติกรรมการใช้งานค้นหาสินค้าและตรวจสอบความเร็ว ถ้าคลิกแล้ว ต้องรอแล้วรออีก ใช้เวลาโหลดนานหลายวินาทีจะมีผลต่อความนิยมของลูกค้าซึ่งมีแนวโน้มผละไปหาคู่แข่งเอาง่าย ๆ โชคดีที่มีหลายวิธีช่วยเพิ่มความเร็วของ เว็บไซต์ ได้ดังนี้

วิธีช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

1.ตรวจสอบความเร็วปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาจับเวลา มีเครื่องมือออนไลน์มากมายสำหรับตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เช่น Pingdom ช่วยตรวจสอบเวลาในการโหลดและขนาดหน้าเว็บรวมทั้งความเร็วของเว็บไซต์เปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น หากเว็บไซต์ของคุณใช้เวลาโหลดนานกว่า 4 วินาทีหรือนานกว่านั้น ถือว่าการโหลดมีปัญหา หมั่นตรวจสอบความเร็วของหน้าเว็บเพื่อให้อยู่ในอันดับที่ดีของ Google อยู่เสมอ

2.ย่อไฟล์ขนาดใหญ่ รูปภาพขนาดเต็มและเนื้อหาอื่น ๆ ที่รวมเป็นไฟล์เดียวกันอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลง ภาพจากกล้องในมือถืออาจมีหลายเมกะไบต์กลายเป็นตัวถ่วง ควรใช้ Photoshop ลดขนาดและปรับแต่งภาพให้มีพื้นที่เล็กลง ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพภาพก่อนอัปโหลดลงในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย

3.ใช้เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา Content Delivery Network หรือ CDN ทำงานโดยการจำลองเว็บไซต์ทั้งหมดบนเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้ผู้ชมที่อยู่ใกล้ที่สุดดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น วิธีนี้ช่วยให้สามารถโหลดได้เร็วสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

4.อัปเกรดเว็บโฮสติ้ง ธุรกิจมือใหม่มักจะเลือกเว็บโฮสติ้งฟรีหรือเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่ถ้าคุณต้องการศักยภาพการแข่งขันสูงสุด ต้องเลือกเว็บโฮสติ้งที่ดี การที่ไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ร่วมกับคนอื่น ทำให้โหลดเร็วขึ้น ทั้งยังป้องกันความเสี่ยงที่เว็บอื่นล่มแล้วฉุดเว็บของคุณดับไปด้วย มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกนิดแต่คุ้มค่า

5.อย่าอัปโหลดวิดีโอไปยังเว็บไซต์ตัวเอง เพราะไฟล์ใหญ่เกินไป ทำให้หน้าเว็บโหลดช้า ควรอัปโหลดวิดีโอไปยังบริการของบุคคลที่สาม เช่น YouTube หรือ Vimeo แล้วเชื่อมโยงกลับไปหาเว็บไซต์ของตนเอง จะไม่ได้รับผลกระทบจากการโหลดหน้าเว็บ สามารถใช้วิดีโอดึงดูดผู้ชมจำนวนมากที่ต้องการดูคลิปแบบประหยัดเวลามากกว่าจะอ่านบทความ

เพียงเท่านี้ก็หมดอุปสรรค ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายไม่ต้องทนรอโหลดนานหลายวินาที ทำให้เว็บไซต์คุณมีโอกาสติดหน้าแรกของ Search Engine และมีโอกาสปิดยอดขายง่ายขึ้นด้วย

เว็บไซต์โหลดเร็ว เคล็ดลับทำ SEO ติดอันดับหน้าแรก

ลูกค้ายังกดปิดเว็บไซต์ เพราะอะไร

หลายคนมีความเข้าใจผิดเรื่องการนำ SEO เข้ามาเป็นกลยุทธ์การทำตลาดออนไลน์ เชื่อมั่นว่าใส่คีย์เวิร์ดในคอนเทนต์และอัปเดทบทความใส่เข้าไปจำนวนมากต่อวันจะช่วยให้เว็บไซต์อยู่ในอับดับต้นของกูเกิลได้ ความจริงแล้วปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ หากบทความไม่น่าอ่านหรืออ่านไม่เข้าใจ ไม่สละสลวย เพราะเน้นใส่คีย์เวิร์ดเต็มไปหมด คนเปิดเข้ามาครั้งแรก ดูแล้วกดออกหรือกดปิดเว็บไซต์เพราะเนื้อหาไม่ดี ไม่ตรงกับความต้องการ สะท้อนว่าการบริหารจัดการเว็บไซต์ขาดประสิทธิภาพ ขาดความพิถีพิถันและเอาใจใส่ในเรื่องผลประโยชน์ของผู้เข้าชม จึงต้องมาปรับทัศนคติกันใหม่ว่าการทำ SEO ที่ดีคืออะไรกันแน่..

โครงสร้างเว็บซับซ้อน ใช้งานยาก : การออกแบบเว็บไซต์ก็เหมือนกับการตกแต่งหน้าร้าน เข้ามาแล้วเห็นสินค้าอัดแน่นเต็มไปหมด หาอะไรไม่เจอ เปิดเวียนไปเวียนมาทำให้สับสน คนไม่อยากเข้าร้าน หน้าเว็บไซต์ก็ต้องจัดระเบียบไม่ต่างกันเพื่อให้หน้าเว็บสวยงามช่วยให้การค้นหามีประสิทธิภาพ

เว็บใหญ่รอโหลดนาน : เว็บไซต์ต้องควบคุมจำนวนหน้าไม่มากเกินไป เพราะพฤติกรรมของลูกค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่ชอบรอคอย หากเว็บไซต์หลายหน้าจะทำให้สับสนไม่น้อย มีภาพประกอบขนาดใหญ่และคลิปวิดีโอ ทำให้โหลดนานขึ้น ภาพกระตุก เสี่ยงที่ผู้ใช้งานจะกดออก ไม่เปิดเข้าไปดูหน้าเพจอื่น ๆ ต่อ หรือกดออกแล้วไม่กลับมาอีก ควรตรวจสอบความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์เสมอ โดยเฉพาะการใช้งานจอมือถือต้องสะดวก อ่านง่าย ไม่ต้องเลื่อนหากันให้วุ่นวาย

บทความไม่โดนใจลูกค้า : การเขียนบทความพร้อมกับใส่คีย์เวิร์ดเพื่อทำ SEO เป็นกลยุทธ์ด้านการตลาดอีกอย่างหนึ่งในการโปรโมทเว็บไซต์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการสินค้าและบริการให้กับลูกค้าเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่มีประโยชน์สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้เว็บ แต่ถ้าเปิดเข้ามาเจอคอนเทนต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการเลย เท่ากับว่าเสียแรงและเสียพื้นที่ในการโปรโมทยอดขายไปอย่างน่าเสียดาย ควรใส่ข้อมูลรายละเอียดของสินค้าและบริการลงไปในเว็บไซต์ พร้อมที่อยู่และช่องทางติดต่อเพื่อความสะดวกในการขายและการสื่อสาร โดยเฉพาะโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด

การทำ SEO ช่วยเพิ่มจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักกว้างขวาง มีโอกาสปิดการขายมากขึ้นและธุรกิจเติบโตมากขึ้น ทั้งหมดเป็นขั้นตอนที่ผู้ประกอบการคาดหวังไว้ แต่จะทำได้มากน้อยขนาดไหนขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ เพราะการจ้างบริการโปรโมทเว็บไซต์เข้ามาเป็นที่ปรึกษามักจะให้คำแนะนำในเบื้องต้น แต่ท้ายสุดก็ต้องทำตามความต้องการของเจ้าของเงิน ซึ่งควรตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างคอนเทนต์ที่ดี ไม่เพียงส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์ติดอันดับที่ดีเท่านั้น แต่นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานยังจะสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้ใจ ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงในการสร้างความภักดีต่อแบรนด์และเป็นลูกค้าประจำกันไปนานๆ

เทคนิคการเขียนบทความ ทำ seo

เทคนิคการเขียนบทความ ทำ seo

ธุรกิจออนไลน์กำลังสนใจวิธีทำ SEO เพื่อโปรโมทเว็บไซต์ เพราะเล็งเห็นประโยชน์ตรงที่ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องจ่ายแพงในด้านค่าโฆษณา เพียงการใส่บทความที่มีคุณภาพพร้อมกับคีย์เวิร์ดเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างการค้นหาของลูกค้าเข้ากับ คีย์เวิร์ด ในบทความ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถดึงดูดคนเข้าชมเว็บจำนวนมากขึ้น เปิดโอกาสให้เข้ามาทำความรู้จักสินค้า บริการ ทั้งยังช่วยทำให้แบรนด์ของเราติดหูติดตา กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในท้ายที่สุด แต่ใช่ว่าจะจับบทความอะไรก็ได้ใส่เข้ามาในเว็บไซต์ ผู้ค้นหาจะชอบอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับสินค้า วิธีการใช้งาน ประโยชน์ที่ได้รับ หรือแม้แต่เคล็ดลับความประหยัด ล้วนเป็นข้อมูลที่นำมาใช้ในเนื้อหาบทความได้อย่างดี มีการสร้างแรงจูงใจที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากขึ้น

เทคนิคเขียนบทความ

เทคนิคเขียนบทความทำ SEO เพื่อโน้มน้าวในผู้อ่านจะต้องกำหนดจุดประสงค์ของเรื่องก่อน เมื่อเราต้องการแสดงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเห็นข้อดีที่ควรจะซื้อ ต้องเริ่มถ่ายทอดคุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ทำให้ง่ายที่จะเรียบเรียงเรื่องราวออกมาในแนวการใช้งานจริง จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์อะไรจากสินค้าของเราบ้าง เน้นเนื้อหาที่ให้ประโยชน์กับลูกค้าเป็นสำคัญ ไม่เน้นการโฆษณาขายของมากเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีสิทธิ์เลือกสิ่งดีที่สุดให้กับตัวเอง งานเขียนที่ดีต้องอ่านง่าย เว้นวรรคและย่อหน้าอย่างเหมาะสมเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น ควบคุมเนื้อหาไม่ยาวเกินไป มีความยาวประมาณ 500-1,000 คำถือว่ากำลังดี อ่านทบทวนและเรียบเรียงเนื้อหาให้เชื่อมโยงกัน อ่านลื่นไหลไม่สะดุดและติดขัด คำฟุ่มเฟือยและคำซ้ำซากทำให้อ่านติดขัดและน่าเบื่อ ตรวจสอบและตัดถ้อยคำที่เยิ่นเย้อออกไป การสะกดคำถูกต้องเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะเกิดผลดีและส่งเสริมภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ทำให้บทความมีความน่าเชื่อถือ

การเขียนบทความเป็นเทคนิคเฉพาะตัว นักเขียนมืออาชีพจะเรียบเรียงเนื้อหาให้น่าอ่านและน่าสนใจมากกว่า ทำให้มีคนเปิดอ่านเนื้อหาเรื่องราวในเว็บไซต์มากขึ้น แต่ถ้าจำเป็นต้องประหยัดงบประมาณที่มีอยู่จำกัด ลองอ่านบทความดีๆ แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับเรื่องราวของตัวเอง ด้วยสูตร “ใคร ทำอะไร ที่ไหน” ซึ่งใช้ในการเขียนทั่วไป เรานำมาอธิบายว่า สินค้าคืออะไร มีคุณสมบัติและประโยชน์อย่างไรบ้าง ข้อดีที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ทำไมต้องเลือกซื้อของเรา ราคาเท่าไร ซื้อได้ที่ไหน ติดต่อช่องทางไหนได้บ้าง ประกอบกับการรีวิวสินค้าเข้ามาช่วยในการอธิบายเพื่อสร้างจินตนาการให้กับผู้อ่าน ทำให้น่าสนใจและเข้าใจเรื่องราวง่ายขึ้น ขณะเดียวกันสามารถเชื่อมโยงบทความเข้ากับโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าเพื่อส่งข้อมูลสู่ผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนัก ทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าได้สะดวกขึ้นด้วย ลองนำไปพิจารณาดูว่าจะใช้ประโยชน์กับบทความของคุณได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้สื่อสารข้อมูลถึงผู้อ่านได้ครบถ้วนและตรงประเด็นที่สุด

เทคนิคการทำ seo

บทความ How to

หลายคนเคยได้ยินเรื่องการทำ SEO กันมาบ้าง โดยมากพูดถึงกันแต่เรื่องทำอย่างไรให้เว็บอยู่หน้าแรกๆ ของการจัดอันดับค้นหาบนเสิร์จเอนจิน ความจริงนั่นเป็นเรื่องสำคัญเพียงด้านเดียว หัวใจหลักของการเข้าไปอยู่ในหน้าแรกเพื่อทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาทำความรู้จักผลิตภัณฑ์ ซื้อแล้วเกิดความพอใจนำไปแชร์กันต่อ เกิดความภักดีกลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ยังมีวัตถุประสงค์อีกมากมายทำให้การทำ SEO ได้รับความสนใจอย่างล้มหลาม การเขียนบทความที่มีเนื้อหาน่าอ่านเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของการทำให้ลูกค้าประทับใจ ยิ่งเข้ามาติดตามอ่านมากเท่าไรก็ยิ่งไต่อันดับสูงขึ้นเท่านั้น เพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับคู่แข่งแบรนด์อื่นอย่างเป็นรูปธรรม

วิธีการเขียนบทความแนว How-to คือการนำเสนอข้อมูลแนะนำสินค้าหรือบริการ ทั้งการอธิบายรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ วิธีการใช้งาน ตลอดจนเกร็ดความรู้น่าสนใจอื่นๆ ช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์ผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดี มีประสิทธิภาพสูง ช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงใจที่สุด การเขียนลักษณะนี้สำหรับนักการตลาดและนักขายมือใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจต้องอาศัยบริษัทรับเขียนบทความและบริษัทรับโปรโมทคอนเทนต์ช่วยเรียบเรียงให้ตามข้อมูลเชิงลึกของสินค้า บวกกับทักษะการเขียนอย่างมืออาชีพที่มีประสบการณ์จะทำให้ลูกค้ากล่าวเป็นเสียงเดียวว่าอ่านแล้วใช่ ใช้แล้วชอบ ช่วยกันกระหน่ำแชร์กันทางอินเทอร์เน็ตให้คนรู้จักได้นำไปใช้ประโยชน์ด้วย ส่งเสริมยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

How to

คอนเทนต์ในลักษณะ How-to ควรแบ่งออกเป็นหัวข้อย่อย เช่น

-รายละเอียดของสินค้าหรือบริการ
-สรรพคุณของผลิตภัณฑ์ โดยอ้างอิงโฆษณาในสื่อกระแสหลักที่โปรโมทสินค้าให้ด้วย
-เขียนถึงกลุ่มลูกค้าที่เหมาะกับสินค้าหรือบริการ ว่ามีประโยชน์อย่างไร ช่วยแก้ปัญหาให้ได้อย่างไร
-ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เช่น มีงานวิจัยที่รับรองคุณภาพ
-ความแตกต่างกับแบรนด์อื่น เพื่อให้ลูกค้าเปรียบเทียบข้อดีและเลือกผลิตภัณฑ์ของเราในที่สุด
-กรณีศึกษาเกี่ยวกับสินค้า รีวิวจากประสบการณ์ของผู้ใช้จริงนำมาบอกต่อ

เพียงคำอธิบายทั้งหมดข้างต้นก็ครอบคลุมจุดเด่นของผลิตภัณฑที่จะช่วยให้ปิดการขายกับลูกค้าได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสนอขายแบบยัดเยียดตรงไปตรงมาซึ่งมักจะทำให้ลูกค้าอึดอัด แต่เขียนบทความในลักษณะโน้มน้าวและเว้นระยะให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง ก่อนจะอัดฉีดโปรโมชั่นดีๆ เช่น รีบซื้อตอนนี้ แถมผลิตภัณฑ์ขนาดทดลอง หรือสินค้าที่ใช้ร่วมกันอีก 1 ชิ้น

อีกขั้นตอนที่ขาดไม่ได้คือการโปรโมทคอนเทนต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งเป็นการทำตลาดออนไลน์ยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ปรับข้อเขียนให้แสดงผลบนหน้าจออุปกรณ์มือถือทำให้อ่านง่าย โหลดเร็ว มีช่องทางให้กดไลค์ กดแชร์ จะเผยแพร่ข้อมูลของผลิตภัณฑ์และแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว คงไม่น่าแปลกใจถ้าการทำ SEO ด้วยบทความ How to จะทำให้ประสบการณ์การค้นหาผลิตภัณฑ์ในโลกออนไลน์ปรากฏชื่อขึ้นในหน้าแรกๆ ของกูเกิล เพราะเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ยิ่งเพิ่มโอกาสการขายได้มากขึ้นไปอีก

การทำ Anchor Text คีย์เดียวกันทุกหน้าเว็บ ไม่ใช่เรื่องดี

การทำ Anchor Text คีย์เดียวกันทุกหน้าเว็บ ไม่ใช่เรื่องดี

เคยเห็นกันไหมว่าในบางเว็บไซต์ผลการค้นหามักจะถูกจัดเอาหน้าเว็บเพจอื่นภายในเว็บไซต์ของเรามาทำอันดับแทนหน้าเป้าหมายที่เราต้องการให้ติดอันดับ เป็นเพราะว่า Google ได้มองเห็นความซ้ำซ้อนในเว็บไซต์ของเราแล้วพยายามจัดหน้าเว็บเพจที่เหมาะสมที่สุดในคีย์เวิร์ดนั้นของเว็บเรา นำมาแสดงในหน้าผลการค้นหาผ่านคีย์เวิร์ดเป้าหมายของเรานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นพวกเว็บแทงบอลต่างๆมักจะมีหน้าทางเข้าขึ้นมาติดแทนหน้าเว็บหลักอยู่เสมอ หรือต่อให้เราค้นหาทางเข้า บางทีก็จะโผล่หน้าหลักมาแทนเป็นแบบนี้หลายเว็บเลยทีเดียว

เมื่อเราได้ลองมีการสังเกตุดูเป็นระยะ สาเหตุก็อย่างที่บอกไปข้างต้นก็คือ Google พยามจัดอันดับเว็บในหน้าที่เกี่ยวข้องมากที่สุดมาแสดง และบางคนได้มีการใช้ Anchor Text หรือเราจะเรียกกันว่าการทำลิงค์เป็น Keyword เข้าไปยังหน้าเว็บเพจของเราในคำค้นหาเดียวกัน เพื่อให้ภาพรวมของเว็บไซต์นั้นบอกเสิร์ชเอนจิ้นว่าเว็บไซต์ของเราเกี่ยวกับเรื่องอะไรเป็นหลัก การทำแบบนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องดีนักเพราะอันกอริทึม Google จะให้คะแนนหน้าเว็บไซต์โดยดูแต่ละเว็บเพจเป็นหลักไม่ใช่โดยรวมเป็นหลัก

หนึ่งเว็บไซต์ สามารถทำได้หลาย 1,000 หลาย 10,000 คีย์เวิร์ด เพียงแค่สร้างเว็บเพจมีความแตกต่างกัน มีเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละหน้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่ในทางกลับกันหากเราคาดหวังว่าเราทำเว็บแทงบอลขึ้นมาและต้องการให้ทั้งเว็บของเราเกี่ยวกับแทงบอล เราก็เลยยิงลิ้งค์ข่าวว่าแทงบอลเข้าไปยังทุกหน้าเว็บเพจของเราแบบนั้น Google จะมองว่าเป็นความซ้ำซ้อนและหน้าเว็บของเราอาจจะไม่ได้ถูกจัดอันดับดังที่เป้าหมายต้องการได้ การอ่านแบบนี้ไม่ถูกต้อง ควรใส่ใจ Anchor Text ในแต่ละเว็บเพจอย่างเจาะจงและต่างกัน ไม่ใช่เหมารวมทั้งเว็บ ถ้าจะทำโดยรวมก็ควรใช้คีย์เวิร์ดใกล้เคียงแทนคีย์เวิร์ดเดียวกัน

ส่องคีย์เวิร์ดทำเงิน

Keyword ถือได้ว่ามีความสำคัญยิ่ง หากคุณได้คีย์เวิร์ดดี เป็นคีย์เวิร์ดทำเงินได้อย่างตรงจุดและโดนใจ ย่อมส่งผลต่อการทำ SEO ได้อย่างมากมายเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การค้นหา Keyword จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก หลักในการหา Keyword เพื่อที่จะใช้ทำ SEO โดยตรง อาจจะต้องมีการวางแผนสักนิดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีตามมา การเลือกคำที่เกี่ยวข้องและใกล้เคียงก็ยังคงมีส่วนที่ช่วยได้เสมอ ถึงแม้ว่าคุณจะเน้นทำ SEO แบบจริงจังหรือไม่ก็ตาม คุณเองก็ต้องเสียเวลาเท่าเทียมกัน แต่ในส่วนของผลลัพธ์อาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณจะทำ SEO ขอให้คุณเน้นทำแบบจริงๆ จังๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีไปเลย

หลักในการค้นหา Keyword

1.Main Keyword – คีย์เวิร์ดในรูปแบบ Main Keyword คุณสามารถใช้หลักการเพื่อตอบคำถามให้กับผู้อื่นได้รับรู้ นั่นก็คือ ธุรกิจของคุณคืออะไร เพราะฉะนั้น Keyword ก็จะต้องเป็นคำสั้นๆ ที่สามารถแสดงตัวตนและนำเสนอธุรกิจของคุณได้อย่างชัดเจนที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ขายกางเกงยีนส์ , รับวาดภาพประกอบ , ที่พัก เชียงใหม่ เป็นต้น

2.กลุ่มเป้าหมาย – การกำหนดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ หรือแม้กระทั่งรายได้ อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับ Main Kerword ร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น Main Kerword คือ ขายกางเกงยีนส์ ขอให้คุณพยายามนึกต่อว่า ลูกค้าของคุณจะต้องการรู้เรื่องอะไรอีกบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อกางเกงยีนส์กับคุณ อย่างเช่น กางเกงยีนส์ยี่ห้อไหนดีที่สุด เป็นต้น

3.พยายามแต่ง Keyword ให้กลายเป็น Longtail Niche Keyword – ในส่วนของขั้นตอนนี้นั้น เปรียบเสมือนเป็นการสร้าง SEO title ให้กับบทความของเราโดยตรง และถ้าจะให้ดีต้องเป็นบทความเดียวที่มีคุณภาพ แต่สามารถทำ SEO ติดได้ด้วย Keyword หลายคำที่เกี่ยวข้อง

การเลือกคีย์เวิร์ดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีนั้น ถือได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก ผู้ที่ค้นหาคีย์เวิร์ดจะต้องวิเคราะห์ วางแผน และพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีคนนิยมค้นหาอย่างมากที่สุดนั้น อาจจะมีผลดีและผลเสียปะปนอยู่ด้วยเสมอ อย่างน้อยการค้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงต่อตัวคุณนั้น จะช่วยทำให้คุณมีโอกาสดีๆ เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยก็ทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การค้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อจัดทำ SEO ถือได้ว่าเป็นจุดตั้งต้นเพียงเท่านั้น เพราะจุดสุดท้ายที่ถือได้ว่าท้ายสุดจริงๆ ในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำ SEO ในแต่ละครั้ง นั่นก็คือ การเขียนบทความ พร้อมทั้งการเลือกใช้คำที่ผู้คนกำลังค้นหากันอยู่เสมอๆ