การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ออนไลน์ ใช้วิธี SEO หรือ SEM ดีกว่ากัน

การทำประชาสัมพันธ์หรือการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมีหลายช่องทาง ซึ่ง SEO และ SEM เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากช่วยเพิ่มยอดขายและทำให้เป็นเว็บไซต์เป็นที่รู้จักได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การทำ SEO และ SEM ก็มีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน ซึ่งเราได้รวบรวมประเด็นที่สำคัญมาไว้ที่นี่แล้ว ดังนี้

1. ด้านระยะเวลา

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับได้ดีในหน้าต่างการสืบค้น อันเป็นผลจากการวิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ หรือ AI ที่ไม่สามารถควบคุมลำดับหรือตำแหน่งในการนำเสนอได้ จึงต้องอาศัยระยะเวลาจากการสะสมข้อมูล ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องทำ คือ การผลิตเนื้อหา รูปภาพ คลิปวีดีโอ เพื่อดึงดูดให้มีจำนวนการเข้าชมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากเปรียบเทียบกับ SEM หรือ Search Engine Marketing ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์โดยการซื้อพื้นที่โฆษณา เพื่อให้อยู่ในอันดับต้น ๆ เช่น 5 อันดับแรกของหน้าต่างการสืบค้นใน Yahoo และ Google จะเห็นได้ชัดว่า SEM เพิ่มยอดเข้าชมและยอดขายจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเร็วและมากกว่า

2. ค่าใช้จ่าย

การทำ SEO สามารถทำได้ด้วยเจ้าของเว็บไซต์เพียงคนเดียว จึงเรียกได้ว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในการจ้างคนหรือหากจำเป็นต้องจ้างอาจจะใช้บริการจ้างทีมงานมืออาชีพ เพื่อการเขียนบทความ ถ่ายภาพและทำสื่อโฆษณาและทำคลิปวีดีโอต่าง ๆ ประกอบ หลังจากการออกแบบเว็บไซต์ ซึ่งปัจจุบันมีโครงสร้างของเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ใช้งานได้ที่เพียงพอต่อการใช้งานโดยทั่วไปแล้ว

ส่วนการทำ SEM ย่อมมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น จากการประมูลพื้นที่โฆษณาในอันดับต้น ๆ และเมื่อมีการคลิกจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้าไปในเว็บไซต์ผ่าน link ที่โฆษณา ก็จะทำให้เกิดการคำนวณค่าใช้จ่าย ที่จะต้องชำระให้แก่ทาง Search Engine แบบ Pay Per Click ตามมา

3. ความสม่ำเสมอในการดูแล

การทำ SEO อยู่ที่ตัวของเจ้าของเว็บไซต์เอง ซึ่งหากมีการทำอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลที่ชัดเจนทั้งด้านยอดขายและผู้ติดตามเว็บไซต์มากขึ้น โดยที่ยังควบคุมค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี

การทำ SEM ย่อมมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น

ส่วนการทำ SEM หากมีต้นทุนที่จำกัด ควรจะทำเป็นจังหวะช่วงเวลาเพื่อกระตุ้นยอดขายตามสถานการณ์เช่น เมื่อมีการออกสินค้ารุ่นใหม่ มีการจัด Event หรือจัดโปรโมชั่นปลายปี ฯลฯ การทำ SEM ก็ไม่ต้องดูแลในเรื่องรายละเอียด เพียงตั้งค่าไว้กับโปรแกรมโฆษณาของ Search Engine ก็จะทำงานอัตโนมัติและเรียกเก็บเงินเมื่อถึงกำหนด

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO และ SEM มีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน นักธุรกิจที่ต้องการประชาสัมพันธ์ให้เว็บไซต์มีชื่อเสียงติดตลาด สามารถเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือจะใช้วิธีการแบบผสมผสานให้เสริมจุดแข็งร่วมกันเพื่อช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเจริญก้าวหน้าได้ดียิ่งขึ้นก็ได้

การที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถติดอันดับการค้นหาจาก Search Engine ในระยะเวลาสั้นๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหากคุณไม่ใช่เจ้าบุญทุ่มที่มีเงินหนาในการซื้อโฆษณาหรือจองพื้นที่ลำดับต้นๆจากทาง Google ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อันดับการเปลี่ยนแปลงในหน้าแรกๆ จะขยับสับเปลี่ยนไปตามความนิยมของคนที่ค้นหา แต่ถ้าเว็บไซต์ของคุณซึ่งอุตส่าห์สร้างมากับมือกลับต้องลื่นไหลหล่นไปอยู่ลำดับท้ายๆ หรือ เปลี่ยนไปอยู่หน้าหลังๆ ได้ทุกวันคงไม่ใช่เรื่องที่เป็นปกติเท่าไรนัก อาจเพราะเว็บของคุณเองทำ SEO ไม่ถูกวิธีจนต้องโดนทาง Google ลงโทษ ลดความสำคัญลงไปในลำดับท้ายๆ หรือ โดนแบน นั่นเอง

มีวิธีใดบ้างที่คุณเผลอไปทำจนให้ Google แบนคุณได้

1.เว็บร้าง ขาดการอัปเดต อาจเพราะแรงจูงใจในการทำเว็บไซต์ของคุณหมดลงหรือหมดไฟในการหาข้อมูลมาอัปเดตเว็บไซต์อยู่เสมอๆ หรือไม่จึงทำให้ Google ค่อยๆ ลดความสำคัญของเว็บคุณลงไป เพราะ Google เองต้องการข้อมูลที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา รวมถึง Google ก็มีบอทในการตรวจสอบเว็บไซต์ หากตรวจพบว่าเว็บของคุณขาดการอัปเดตในเนื้อหาหรือปล่อยร้างไปนานรับรองได้เลยว่า อันดับการค้นหาของคุณต้องไหลรูดอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วหมั่นควรอัปเดตเนื้อหาและบทความให้ใหม่อยู่เสมอ รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจใหม่เพื่อไม่ให้หมดไฟในการทำเว็บไซต์ด้วยนะ

2.Copy หรือ เอาข้อมูล รูปภาพ จากเว็บอื่นมาลง แน่นอนที่สุดที่สมควรต้องโดนแบน เพราะการละเมิดข้อมูลของคนอื่นถือว่าเป็นความผิดอย่างมาก ซึ่งทางเจ้าของเว็บที่โดน Copy มาสามารถที่จะแจ้งเรื่องหรือร้องเรียนไปยัง Google ผ่านช่องทาง Copyright Removal ทาง Google ก็จะทำการตรวจสอบและลบเว็บไซต์นั้นออกจากระบบการค้นหาของทาง Google โดยทันที หากไม่อยากโดนลบโดนแบนจากทาง Google แล้วควรให้เครดิตเจ้าของข้อความหรือรูปภาพด้วยการทำ Backlink กลับไปยังเว็บไซต์ที่คุณนำบทความมาจะดีที่สุด

3.เว็บไซต์โดนแฮ๊ก การที่เว็บไซต์โดนแฮ๊กนั้นอาจมีด้วยกันหลายแบบ เช่น การแก้ไขข้อมูลในเว็บคุณโดยนำข้อมูลอื่นมาใส่แล้วทำลิงก์ออกไปเว็บข้างนอก, การฝังไวรัสหรือมัลแวร์ในเว็บของคุณ ซึ่งทาง Google เองจะขึ้นข้อความเตือนผู้ที่ทำการค้นหาผ่าน Search Engine ว่าเว็บนี้อาจมีไวรัสหรือไม่ปลอดภัย เป็นต้น

4.SPAM หรือการโพสข้อมูลซ้ำๆ การขายสินค้าโดยการโพสข้อมูลบ่อยๆ บางครั้งอาจไม่ใช่ผลดีเสมอไป อย่างการไปฝากลิงก์กับเว็บภายนอก ซึ่งทางบอทของ Google เองอาจมองดูว่าเป็นการทำ SPAM Backlinks เมื่อโพสบ่อยๆ ขึ้นก็อาจส่งผลให้อันดับตกลงเร็วไปด้วย

5.ตกแต่งรูปและสคริปต์ภายในเว็บมากเกินไป Google มี Engine ตัวหนึ่งที่คอยตรวจจับเว็บไซต์ที่ตอบสนองต่อการโหลดหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ว่าช้าหรือเร็วมากน้อยแค่ไหน การที่คุณใส่รูปที่มีขนาดใหญ่หรือสคริปต์ที่ตกแต่งเว็บให้มีขนาดใหญ่เกินไปทำให้อัตราการโหลดหน้าเว็บไซต์ช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้อันดับในการค้นหาเว็บไซต์ของคุณตกลงแน่นอน คอยหมั่นตรวจสอบ Page Speed จากเครื่องมือ Google Page Speed Insights เพื่อคอยปรับปรุงความเร็วของการโหลดหน้าเว็บอยู่เสมอ

มีวิธีใดบ้างที่คุณเผลอไปทำจนให้ Google แบนคุณได้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะไม่ทำ SEO ที่ไม่ดีตามที่กล่าวมานี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีการลดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ เพราะนอกจากอันดับที่ลดลงแล้วนั้นยังมีความน่าเชื่อถือที่ลดหายลงไปด้วย ทำในสิ่งที่ถูกและขยันอัปเดตเนื้อหาใหม่ๆอยู่เสมอ รับรองได้เลยว่าเว็บไซต์ของคุณจะยังคงติดอันดับหน้าค้นหาของทาง Google อย่างแน่นอน

YOAST SEO คืออะไรและใช้อย่างไรถึงช่วยให้เว็บไซต์อันดับดี

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำการตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยจะมีการเขียนบทความโดยใช้คีย์เวิร์ด SEO ที่ตรงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพื่อให้ระบบ algorithm ของ Search Engine วิเคราะห์ว่าเป็นบทความที่มีคุณภาพดี ทำให้ผลการจัดอันดับเว็บไซต์ดีขึ้น

YOAST SEO เป็น Plugin ที่ใช้สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Word Press ซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์ได้ว่าบทความนั้นมีคุณภาพดีพอสำหรับการโพสต์หรือยัง ซึ่งจะมีการแสดงผลขณะแก้ไข เป็นดวงไฟสีแดง สีเหลือง สีเขียว มีความหมายว่า ยังไม่ดีต้องมีการแก้ไข (สีแดง) พอใช้ (สีเหลือง) และดีแล้ว (สีเขียว) ทำให้สามารถนำบทความไปใช้ได้อย่างมั่นใจขึ้น

ขั้นตอนการใช้งาน YOAST SEO

1. หลังจากดาวน์โหลด Plugin นี้ลงในคอมพิวเตอร์แล้ว ก็ให้เตรียมบทความมาทดสอบ โดยควรมีการใช้คีย์เวิร์ด 1 คำหลักเท่านั้น

2. เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา ให้ดูที่บริเวณด้านล่าง ให้ใส่ Keyword ที่เราเลือกเขียนในบทความลงไปในช่องที่เขียนว่า Focus Keyword แล้วไฟสีเขียวจะสว่างขึ้น หลังจากนั้นให้ทำการปรับแก้ไขในแต่ละจุดตามที่โปรแกรมแนะนำ

3. โดยทั่วไปแล้ว Yoast SEO จะวิเคราะห์เริ่มจากความยาวของชื่อเรื่องที่คำว่า Edit Snippet ที่ต้องใช้คีย์เวิร์ดเดียวกับใน Focus Keyword ของข้อ 2 ซึ่งถ้าชื่อสั้นหรือยาวเกินไป ไฟจะเป็นสีแดง ก็ควรแก้ไขจนกว่าไฟจะเป็นสีเขียว

4. ในส่วนของเนื้อหา ควรทำให้ทุกย่อหน้ามี Focus Keyword เดียวกับข้อ 2 และมีความยาว 300 คำขึ้นไป (แต่ละย่อหน้าไม่เกิน 5 บรรทัด) ถึงจะมีโอกาสเป็นไฟเขียว

5. ส่วนของรูปภาพประกอบ ควรจะมีอย่างน้อย 1 รูปขึ้นไป โดยใส่ Focus Keyword ในช่อง Alt Text จำนวน 1 รูปด้วย

6. ควรมีการค้นคว้าเพิ่มลิงค์จากเว็บไซต์อ้างอิงลงในบทความด้วย เพราะจะช่วยให้ไฟเขียวมากขึ้น ส่วนการลิงค์ไปหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของเราเอง หรือการทำไฮเปอร์ลิงค์ ให้เลือกที่ตำแหน่ง Visual Text  Editor

7. ควรใช้รูปแบบตัวอักษรหลาย ๆ แบบ เช่น ตัวหนา ตัวเอียง เพิ่มคู่กับการแปะลิงค์คลิปวีดีโอ ซึ่ง YOAST SEO จะนำมาวิเคราะห์คุณภาพบทความให้ไฟเขียวด้วย

8. เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้เป็นไฟเขียว ก็แสดงว่ามีโอกาสสูงที่บทความจะถูกวิเคราะห์จาก Search Engine ให้มีคุณภาพดีด้วย ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกจัดอันดับใน Google และ Yahoo ได้ตำแหน่งต้น ๆ

อย่างไรก็ตาม Yoast SEO เป็นตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น การจัดอันดับเว็บไซต์ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ Search Engine ใช้อีก คนทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์จึงต้องพัฒนาเว็บไซต์ในด้านอื่น ๆ ด้วย

YOAST SEO คืออะไรและใช้อย่างไรถึงช่วยให้เว็บไซต์อันดับดี

สิ่งที่ทุกคนควรรู้ ก่อนการทำ SEO

การทำเว็บไซต์ออนไลน์เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะทำให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมียอดการขายเกิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากการเชื่อมโยงด้วยระบบอินเตอร์เน็ตที่มีความรวดเร็วในการส่งข้อมูล ซึ่งการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ด้วยการทำ SEO หรือ search engine Optimization เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะจะทำให้ถูกจัดอันดับดีขึ้นจาก Search Engine เพิ่มโอกาสประสบการณ์ขายสินค้าและมีลูกค้ามากขึ้นได้

ก่อนการทำ SEO นักธุรกิจออนไลน์ควรจะทำการศึกษาในประเด็นต่อไปนี้

1.Keyword

Keyword ที่จะใช้ในการทำ SEO ควรจะมาจากการวิจัยแล้วพบว่าเป็นคำที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณนิยมพิมพ์ใน Google Search เพื่อสืบค้นหา เช่น ที่พักจังหวัดสงขลา โฮมสเตย์สงขลา รีสอร์ทเชียงใหม่ เป็นต้น หากเลือก keyword ได้ถูกต้องก็จะทำให้เมื่อลูกค้าสืบค้น จะมีโอกาสเห็นข้อมูลจากเว็บไซต์คุณก่อนคู่แข่งธุรกิจเจ้าอื่นได้

2. ตำแหน่งในการใส่ keyword

ควรใส่ keyword ในตำแหน่งต่าง ๆ ของเว็บไซต์อย่างเหมาะสม ได้แก่

– ในบทความ ควรใส่ keyword อย่างน้อย 2 ถึง 3 ครั้งกระจายทั่วไป ทั้งบทนำ กลางเนื้อหาและสรุป และไม่ควรจะยัดเยียด Keyword ลงไปจนอ่านข้อความแล้วไม่เป็นธรรมชาติ

– ส่วน Meta-Description จะเป็นการสรุปว่าในหน้าเพจนี้อ่านแล้วจะได้เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง

– ใส่ในชื่อ URL Address เพื่อทำให้ตรงกับเนื้อหามากขึ้น

3. เสริมประสิทธิภาพของ SEO ด้วยการทำ Google AdWords กรณีที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดตลาดเร็ว มีการแสดงในหน้าต่างการโฆษณาได้อย่างแน่นอน เพื่อให้เพิ่มโอกาสการขายสินค้าและบริการได้อย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำ Google AdWords ควบคู่ไปกับการทำ SEO ด้วย

โดย Google AdWords ก็จะเป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาหรือประมูลพื้นที่ด้านบนของหน้าจอการสืบค้น แต่หากมีคู่แข่งที่ใช้ keyword เดียวกันเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้สูงขึ้น ทั้งนี้เมื่อมีการคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ทุกครั้งนั้น เจ้าของธุรกิจก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ Search Engine ด้วยซึ่งเรียกการคิดค่าใช้จ่ายแบบนี้ว่า Pay Per Click

4.การสร้างลิงก์เชื่อมโยงหรือ Backlink จะมีประโยชน์ในการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าจากเว็บไซต์ภายนอกได้ เช่น หากคุณไปตอบคำถามเอาไว้เกี่ยวกับการเลือกซื้อแอร์ปรับอากาศและแปะลิงก์ของเว็บไซต์คุณไว้ (โดยที่คุณทำบริษัทขาย เครื่องปรับอากาศอยู่) ก็จะทำให้มีโอกาสที่ผู้อ่านการตอบคำถามของคุณ จะคลิกเข้ามาตามลิงก์ที่คุณให้ไว้นั่นเอง จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าที่มากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นมีเทคนิคที่หลากหลาย เป็นสิ่งที่นักทำธุรกิจออนไลน์ควรจะศึกษาก่อนการเริ่มธุรกิจ จึงจะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ดี

สิ่งที่ทุกคนรู้ ก่อนการทำ SEO

SEO Search engine optimization

การทำเว็บไซต์ให้มีผู้เข้าชมจำนวนมากและสม่ำเสมอในปัจจุบัน ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงส่วนประกอบภายในให้สอดคล้องตามหลักการ SEO เพื่อให้ถูกสืบค้นได้ง่ายจาก google yahoo หรือที่เรียกรวม ๆ ว่าระบบ search engine ซึ่งคุณจำเป็นต้องรู้อะไรบ้างจึงจะทำให้ได้เว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพสูง มาดูกัน

จะทำเว็บไซต์ SEO ต้องรู้

SEO คือ อะไร

SEO หรือที่ย่อมาจากคำว่า search engine optimization เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ถูกสืบค้นได้ง่าย และปรากฏเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น โดยหากสามารถอยู่ในลำดับที่ 1 – 5 ได้ ก็จะทำให้มียอดผู้เข้าชมจำนวนมาก และมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับยอดขายสินค้าและบริการของแบรนด์นั้น

ต้องรู้อะไรเพื่อทำเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ SEO ต้องรู้ว่ามีองค์ประกอบหลักอยู่สองส่วน คือ ส่วนที่เป็น on-page SEO และ ส่วนของ off-page SEO ดังรายละเอียด ต่อไปนี้

1. ส่วนของ ON-page SEO

เป็นการปรับเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์คุณให้มีส่วนผสมที่ลงตัว ต่อไปนี้

(1) มีคีย์เวิร์ดที่จำเป็นและเหมาะสมกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หรือที่เรียกกันว่าคีย์เวิร์ด SEO

(2) ส่วนของโครงสร้าง หรือ crawl ability ที่ทำให้ระบบอัลกอริทึมของ search engine สามารถวิเคราะห์และเก็บข้อมูลในการจัดอันดับโดยง่าย

(3) การมีเนื้อหาที่มากพอจะจัดแยกเป็นหน้า หรือ site volume ที่มีนัยสำคัญ

(4) มี link ที่มีคุณภาพในการเชื่อมโยง content SEO ในเว็บไซต์คุณ

(5) มีความรวดเร็วฉับไวในการดาวน์โหลดข้อมูลจาก server ไปสู่ผู้ใช้บริการเว็บไซต์ หรือลูกค้าปลายทาง หรือที่เรียกว่า page speed ที่ดี

(6) มีความสามารถในการแสดงผลในหน้าจอมือถือ smartphone ซึ่งเป็นเครื่องมือชิ้น สำคัญในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย หรือMobile friendly

การทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและข้อมูลที่อัพเดต มีการวิจัย keywords ที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้โอกาสถูกจัดอันดับสูงโดย algorithm ใน yahoo Google ดีขึ้นอย่างชัดเจน

2. ส่วนของOff-page SEO

เป็นการเชื่อมโยง link หรือเว็บไซต์ภายนอกเข้ามาสู่เว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มยอดผู้ชมเนื้อหาของคุณที่มาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยเทคนิคต่อไปนี้

(1) การไปแชร์ความรู้และตอบคำถามในสังคมออนไลน์ที่อื่น ๆ และโพส link เว็บไซต์ของคุณไว้ให้คนที่ใส่ใจเนื้อหาเพิ่มเติมมาตามติดในเว็บไซต์หลักของคุณ

(2) การไปลงทะเบียนเป็นเว็บไซต์ในทำเนียบสารบัญเว็บไซต์ให้ผู้สนใจมาคลิกเข้าชม

ซึ่งการทำ backlink นี้จะเป็นการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่มาติดตามและเพิ่มโอกาสในการใช้สินค้าและบริการของคุณได้ในระยะยาวด้วย

จะทำเว็บไซต์ SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

การทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพจะช่วยให้มียอดขายและลูกค้าประจำติดตามการเคลื่อนไหวของเว็บไซต์คุณอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการจัดอันดับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จาก search engine ซึ่งย่อมเป็นผลดีต่อธุรกิจคุณในระยะยาวอย่างแน่นอน