ส่วนประกอบของ KPI ที่คนส่วนใหญ่นำมาประเมินในการทำ SEO

การทำ SEO ก็เป็นการทำงานอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องมีการวัดผลเพื่อทราบว่าการลงมือทำงานไปนั้นได้ประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน โดยแต่ละคนก็จะมีการวัดประสิทธิภาพการทำงานของ SEO ที่แตกต่างกันไป โดยวันนี้เรามี KPI ที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการวัดผล SEO มาให้คุณลองนำไปประยุกต์ใช้กับการทำ SEO ของคุณแล้ว ว่าแต่จะมีอะไรบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่า

KPI วัดผลอะไรได้บ้าง

จำนวนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์บน search engine – ยิ่งมีคนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณด้วยวิธี organic หรือเป็นวิธีที่ไม่ได้ใช้เงินจ่ายค่าโฆษณามากเท่าไหร่ ก็หมายความว่าการทำ SEO ของคุณได้ผล และที่มากกว่านั้นคือบทความหรือ meta data ที่คุณใส่ลงไปมีสิ่งที่ดึงดูดคนให้กดไปสู่เว็บไซต์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ

การไต่ขึ้นอันดับไปบนหน้าแรกของ search engine – KPI ที่คนทำ SEO ต้องเจอและหนักใจมากที่สุดก็คือการไต่อันดับขึ้นไปหน้าแรกของ search engine นั่นเอง ซึ่งเป็น KPI หัวใจหลักของ SEO อยู่แล้ว โดย KPI ตัวนี้อาจใช้เวลานานในการวัดผล เพราะการขึ้นอันดับไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน

คะแนนคุณภาพของโดเมนหรือ domain authority – โดเมนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการทำ SEO เพราะหากโดเมนของคุณมีคุณภาพและมีคะแนนที่ดี ก็ยิ่งทำให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นอันดับได้ง่าย โดยการเช็คคะแนนนั้นสามารถเช็คได้หลายเว็บไซต์ เช่น https://linklifting.com/ ที่สามารถตรวจสอบคุณภาพของโดเมนไปพร้อม ๆ กับ keyword ที่คุณต้องการ

คะแนนคุณภาพของ external link หรือ backlink SEO metric – การทำ off-page SEO นั้นมี external link หรือ backlink เป็นส่วนประกอบ หากคุณมีการทำ backlink อยู่ ก็ควรเช็คคะแนนที่ search engine ให้แก่เว็บไซต์ของคุณด้วย โดยเว็บไซต์ที่ใช้ในการเช็คคะแนน backlink นั้นมีหลายเว็บไซต์เลยทีเดียว เช่น https://www.semrush.com/

คะแนนคุณภาพของ internal link SEO metric – การตรวจคุณภาพของ internal link นั้น มีวิธีการทำเช่นเดียวกับการเช็คคะแนน backlink ซึ่งแตกต่างกันแค่ตรงที่การเช็คคะแนน internal link เป็นการให้คะแนน link ที่อยู่ภายในเว็บไซต์ของคุณเอง โดยมีเว็บไซต์ที่ใช้ในการตรวจสอบหลายตัว เช่น https://ahrefs.com/ ที่เป็นที่ชื่นชอบและนิยมใช้ในหมู่คนทำ SEO

conversion ที่ได้ – แน่นอนว่าการทำ SEO นั้นจะทำให้คนมองเห็นเว็บไซต์หรือหน้าบน platform ที่คุณต้องการให้เห็น ฉะนั้นการหลายคนจึงนำ conversion เช่น ยอดขาย, ยอดคลิก, ยอดวิว, ยอดแชร์ มาเป็น KPI ในการทำ SEO

เห็นไหมว่าการทำ SEO นั้นก็จำเป็นต้องมี KPI เพื่อนำมาใช้ในการวัดผลเช่นเดียวกัน ซึ่งการนำ KPI แต่ละตัวมาใช้นั้น ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการทำ SEO ของแต่ละคน โดยไม่สามารถใช้เหมือนกันได้ทั้งหมด แล้วคุณล่ะใช้ KPI ตัวไหนอยู่บ้าง

KPI วัดผลอะไรได้บ้าง

การทำ SEO ให้ประโยชน์กับเว็บไซต์อย่างไร

อินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายไร้สายที่สามารถเชื่อมต่อคนทั่วโลกเข้าหากันได้ ทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน หากต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรสักอย่างแค่เพียงค้นหาใน Search Engine ก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการหากข้อมูลนั้นถูกโพสต์ไว้บนอินเทอร์เน็ต

เว็บไซต์เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักขายของออนไลน์, บล็อกเกอร์หรือนักการตลาดออนไลน์ สามารถใช้วิธีการแบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจโดยเว็บไซต์เหล่านี้มักจะทำจะทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้ถูกค้นเจอง่ายที่สุด ซึ่ง ข้อดีของการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ มีดังนี้

การทำ SEO ให้ประโยชน์กับเว็บไซต์อย่างไร

ได้ความความมั่นใจจากกลุ่มเป้าหมาย เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครเห็นเว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกก็มักต้องรู้สึกไว้วางใจเว็บไซต์นั้น ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine ย่อมมีการเรียบเรียงเนื้อหาออกมาเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ที่อ่านสามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้จนจบ

มีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าเว็บไซต์นั้นจะเป็นเว็บไซต์สำหรับขายสินค้า เว็บไซต์รีวิวสินค้า เว็บไซต์ข่าวหรือบล็อก การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ย่อมทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพื้นที่โฆษณา การซื้อสินค้าหรือบริการ ก็ตาม

สร้างชื่อเสียงให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง การโฆษณาเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine ใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง แต่การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์จะทำให้เว็บติดอันดับบนหน้าแรกและกลายเป็นที่จดจำโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมาก ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์อาจนำเงินที่ต้องซื้อโฆษณามาใช้ปรับปรุงเว็บไซต์ให้สวยงามและมีประสิทธิภาพดีขึ้น

SEO ช่วยคัดกรองผู้เข้าสู่เว็บไซต์ แน่นอนว่าการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์จนติดอันดับย่อมต้องเจาะจง Keyword ให้ชัดเจน ซึ่งการทำแบบนี้เป็นการกรองเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์โดยตรง ทำให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเห็น Traffic ของกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงที่เข้าสู่เว็บไซต์และนำไปวางแผนแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นต่อไปได้

ก้าวนำหน้าคู่แข่งเสมอ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ย่อมได้เปรียบคู่แข่งของหมวดสินค้า-บริการประเภทเดียวกัน ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วรวมถึงความไว้วางใจของลูกค้าที่มากขึ้น ทำให้เป็นการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ได้และรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ด้วย

ข้อดีของการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์จนติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ยังมีอีกมากมาย ซึ่งวิธีพื้นฐานในการทำให้เว็บติดอันดับควรเริ่มที่การเลือก Keyword ที่มีอัตราการแข่งขันต่ำแต่มีจำนวนผู้ค้นหาจำนวนมาก จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ง่ายกว่า

ดังนั้น เป้าหมายแรก ๆ ที่ควรทำให้สำเร็จก็คือ การทำ SEO เนื่องจากการได้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine จะทำให้เป้าหมายด้านอื่น ๆ ในการทำเว็บไซต์ประสบความสำเร็จตามไปด้วย

ธุรกิจเว็บไซต์ต้องรู้จัก SEO และข้อดีของการทำ SEO

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สนใจอยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญ

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอได้ง่าย เมื่อมีคนพิมพ์หาด้วย keyword หนึ่ง ๆ ในช่อง Search ของ Google จะปรากฏเว็บไซต์ขึ้นมามากมาย เว็บไซต์ที่อยู่อันดับต้น ๆ มาจากการทำ SEO ได้ดีก็จะมีโอกาสได้รับการสั่งซื้อสินค้าและเป็นที่จดจำในกลุ่มผู้ใช้งานได้มากขึ้น

เจ้าของเว็บไซต์ทุกคนต่างมุ่งหวังอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้น ที่เรียกว่าส่วนของออร์แกนิก SERPs หรือ search engine result pages เพราะมีการเก็บสถิติวิจัยด้านการตลาดพบว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 1-5 ของ Organic SERPs จะมียอดขายสินค้ามากกว่าเว็บไซต์อันดับล่างลงไป จำนวนหลายเท่าตัว จึงหมายถึงโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วย

การทำเว็บไซต์ SEO นั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สนใจอยู่ 3 ประเด็นที่สำคัญ คือ

โครงสร้างหรือผังเว็บไซต์

ส่วนโครงสร้างหรือผังของเว็บไซต์ มีความจำเป็นที่ต้องใช้งานง่าย แยกหมวดหมู่ของสินค้าให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประทับใจ และควรมี chatbot หรือระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ มาเป็นผู้ช่วยในการตอบคำถามง่าย ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ เพราะจะสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและประหยัดเวลาให้ผู้บริโภคประทับใจมากขึ้น

คุณภาพของเนื้อหา

ในเว็บไซต์ต้องมีหัวใจหลักคือ เนื้อหาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งมีการผลิตรูปหรือสื่อมัลติมีเดียที่แตกต่างจากเว็บไซต์อื่น ๆ จึงจะทำให้ระบบ algorithm ของ Google ประเมินว่ามีความน่าสนใจสูง ทำให้ได้คะแนน SEO ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องไม่มีการคัดลอกบทความหรือรูปภาพมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่จะทำให้ถูกแบนหรือลดอันดับความน่าเชื่อถือด้วย

การทำลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ภายนอก

เมื่อมีการผลิตบทความแล้ว ควรที่จะใส่ Reference หรือแหล่งอ้างอิงของข้อมูล เพื่อเป็นการให้คุณค่าแก่เว็บไซต์ที่นำข้อมูลมาใช้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการทำ backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมส่งเสริมการขายซึ่งกันและกันได้ การมี backlink ที่มีคุณภาพสูงจะช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้น และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้

การทำ SEO ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์สามารถศึกษาจากหนังสือและฝึกทำได้ด้วยตัวเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือจะจ้างบริษัททำก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องทราบว่าการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลที่มีคุณภาพ 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไป ดังนั้นการจ้างทำ SEO เท่ากับเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจด้วย

ทั้งนี้ ควรมีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการทำ SEO โดยใช้โปรแกรมเฉพาะ เช่น Google search Console ที่จะแสดงค่าสถิติด้านการเข้าชม ประสิทธิภาพของการใช้ keyword แต่ละคำ ความสามารถเชื่อมโยงลูกค้าเข้ามาจากแต่ละลิงก์ ฯลฯ เพื่อให้วางแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ SEO ได้อย่างเหมาะสมต่อไป เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ทุกท่านนำไปต่อยอดเพื่อให้มียอดขายที่ดีและมีลูกค้าที่มากขึ้นได้จากการทำ SEO

ทำไมผู้เชี่ยวชาญถึงแนะนำให้ทำ SEO ให้เว็บไซต์ 2019

การทำ SEO ให้แก่รูปภาพ เพื่อให้สืบค้นได้ง่าย

เราหลายคนเคยใช้บริการหารูปภาพใน Google image search ซึ่งภาพต้น ๆ จะเห็นรูปภาพที่สวยงามน่าประทับใจ ชวนให้คลิกเข้าไปอ่านบทความเสมอ หากคุณต้องการทำให้รูปภาพที่ประกอบในเว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างนั้นบ้าง จะต้องทำ SEO อย่างไร เรามีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน ดังนี้

การทำ SEO ให้แก่รูปภาพ เพื่อให้สืบค้นได้ง่าย ต้องประกอบไปด้วย

1. การทำ sitemap

sitemap หมายถึง ไฟล์ที่เก็บข้อมูลสรุปให้ Google ดูได้ง่าย ๆ ว่าภายในเว็บไซต์คุณประกอบไปด้วย URL ย่อย ๆ อะไรบ้าง เทียบได้กับสารบัญของหน้าหนังสือ ซึ่ง sitemap แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ Default และ Extension

ส่วนรูปภาพประกอบเว็บไซต์ จะเก็บรวมกับวิดีโอ ในส่วนของ Extension sitemap การ submit ส่วนนี้ จะช่วยให้ระบบ algorithm ของ Google วิเคราะห์รูปภาพของคุณได้ง่ายขึ้น โดยแนะนำตัวช่วยในการสร้าง sitemap คือ www.xml-sitemaps.com ที่มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำในราคาประหยัด

2. การอธิบายรูปภาพอย่างละเอียด

ควรใช้ฟังก์ชัน Alt Tag ใน wordpress และปลั๊กอิน Yoast SEO เพื่อใส่รายละเอียดของภาพให้มากที่สุด และจะช่วยในการวิเคราะห์ชี้จุดอ่อนให้ทราบว่า keywords สำหรับภาพนั้นควรแก้ไขจุดใด

ทั้งนี้ ควรเริ่มจากคำภาษาอังกฤษง่าย ๆ ที่สื่อสารให้เข้าใจได้ว่าในภาพมีใคร กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน ธีมภาพสีอะไร องค์ประกอบของสิ่งของเครื่องใช้ในภาพมีอะไรบ้าง ฯลฯ ไม่ควรใช้ภาษาไทย เพราะมีโอกาสสะกดผิดสูงและไม่เป็นสากล

3. การเลือกตำแหน่งในการวางภาพ

ควรให้อยู่ในย่อหน้าเดียวกับบทความที่เนื้อหาสอดคล้องกันเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องมีภาพประกอบในทุกย่อหน้าก็ได้ การเลือกตำแหน่งที่ดี จะช่วยให้ระบบ AI ของ Google วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Google image Search ลำดับบน ๆ มากขึ้นตามไปด้วย

สำหรับการตรวจสอบผลการทำ SEO รูปภาพ วิธีง่ายที่สุดในการเช็คว่า การปรับแต่งที่กล่าวมามีผลดีจริง ควรใช้ตัวช่วยที่เรียกว่า Google search Console ใน โดยเข้าไปที่หัวข้อ แผนผังไซต์ จะมีผลประมวลว่ามีรูปภาพจำนวนเท่าใดที่ส่งแล้ว มีกี่ภาพที่มีการทำดัชนีไว้เรียบร้อย หากตัวเลขมีมากเท่าไหร่ก็แสดงว่า ระบบ AI ของ Google มีการเก็บข้อมูลที่เป็นปัจจุบันตามการแก้ไขที่มากขึ้น จะส่งผลให้อันดับ SEO ของรูปภาพในเว็บไซต์คุณได้รับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีตามไปด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO เพื่อให้ภาพของคุณมีอันดับการสืบค้นใน Google image search ที่ดียิ่งขึ้น เป็นตัวช่วยที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักสร้างการจดจำแบรนด์และเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ตามมาคือ จะมีตัวเลขการขายสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

ทำ SEO อย่างไรให้ภาพโชว์บน Google image Search อันดับต้นๆ

เรียนรู้ การทำ SEO ให้รูปภาพในเว็บไซต์

การทำ SEO (search engine optimization) ให้เว็บไซต์ ตามระบบที่ Google กำหนด เป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้อันดับของเว็บไซต์ทางธุรกิจมีโอกาสในการถูกค้นเจอง่ายขึ้น ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการทำ SEO ให้กับบทความแล้ว ยังครอบคลุมถึงการทำ SEO ให้รูปภาพ การใช้เทคนิคแบบมืออาชีพที่จะทำให้รูปภาพต่าง ๆ ในเว็บไซต์ถูกต้องตามหลักการทำ SEO ดียิ่งได้ มีดังนี้

เทคนิคแบบมืออาชีพ ตามหลัก SEO

1. รูปที่เข้าถึงลูกค้า

ควรใช้รูปภาพที่ถ่ายทำขึ้นเอง โดยใช้คนไทยเป็นนายแบบนางแบบมาทำท่าทางประกอบต่าง ๆ เพราะจะได้รับความนิยมจากผู้อ่าน สื่อความหมายและมีอารมณ์ร่วมกับบทความมากยิ่งขึ้น ดีกว่าการซื้อภาพจากเว็บไซต์ขายภาพ ที่มักเป็นคนต่างประเทศมาแสดง จะทำให้เพิ่มการติดตามได้มากขึ้นในระยะยาว

2. ตั้งชื่อรูปภาพให้เหมาะสม

การตั้งชื่อรูปภาพในเว็บไซต์ SEO ควรจะใส่ keyword ที่สอดคล้องกันลงไปเสมอ โดยให้นึกถึงคำง่าย ๆ สั้น ๆ ว่าใครกำลังทำอะไรที่ไหนทำอย่างไร หรือเป็นคำที่สื่อถึงกิริยาท่าทางของคนในรูปภาพ จะสามารถช่วยให้บทความตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

3. ใส่ความหมายของธีม theme

ธีมหรือหมวดหมู่ของภาพเป็นสิ่งสำคัญที่เอามาตั้งชื่อภาพได้ เช่น ภาพอาหารก็สามารถใส่คีย์เวิร์ดได้ว่า เป็นธีมด้านสุขภาพ ผิวพรรณ ความงาม หากเป็นรูปของสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเขา ทะเล ก็สามารถใส่ธีมว่า พักผ่อน ท่องเที่ยว เดินทาง คลายเครียด ฯลฯ การใส่ theme ที่ดีจะทำให้ประเด็นของบทความและรูปภาพชัดเจนยิ่งขึ้น และตรงกับการพิมพ์ค้นหาจากลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น ทำให้อันดับ SEO สูงขึ้นตามไปด้วย

4. ใช้ชื่อรูปภาพเป็นภาษาอังกฤษ

ควรใช้คำภาษาอังกฤษที่เป็นการสื่อความหมายได้ง่าย เป็นคำศัพท์ในชีวิตประจำวัน เช่น ความรัก ก็ควรใช้คำว่า Love คำว่าความสุข ก็ใช้คำว่า happy ไม่จำเป็นต้องใช้คำยากหรือศัพท์ทางวิชาการ เพราะจะเข้าถึงการสืบค้นของกลุ่มผู้ใช้งานจริงได้ง่ายกว่า

5. ใส่แบรนด์ รุ่นสินค้า

หากเป็นรูปภาพของสินค้าที่มียี่ห้อ ก็ควรจะใส่ชื่อแบรนด์และรุ่นลงไปเป็นคีย์เวิร์ดในรูป เช่น รองเท้า กระเป๋า ของใช้ด้านกีฬา โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

6. ไม่ใช้ภาษาไทยในการตั้งชื่อภาพ

เนื่องจากการใช้ปลั๊กอิน All-in-one-wp migration ที่ต้องใช้ในการนำรูปอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์จะทำให้ตัวอักษรผิดเพี้ยนวรรณยุกต์หรือหายไปได้ จะทำให้ไม่สามารถตรงกับการสืบค้นได้จริง จึงควรเลือกใช้ตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษจะให้ผลดีกว่า

จะเห็นได้ว่า ตั้งชื่อภาพในเว็บไซต์ตามระบบ SEO มีความสำคัญต่อการทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น หวังว่าแนวทางที่นำเสนอข้างต้น จะช่วยให้ทุกท่านนำไปปรับใช้ได้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์มากขึ้นต่อไป

เทคนิคแบบมืออาชีพ ตามหลัก SEO

เทคนิคการทำ SEO ให้ขายดีพอ ๆ กับเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันการซื้อขายได้เปลี่ยนจากหน้าร้านบนถนนมาเป็นผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 5G ที่ลูกค้าจำนวนมากใช้โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ในการหาร้านค้าที่น่าสนใจ ซึ่งมักมีเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่ในแต่ละวงการธุรกิจที่ขายสินค้าได้มากตลอดปี หากคุณขายสินค้าในหมวดหมู่เดียวกันก็ควรต้องใช้เทคนิค SEO ในการพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้มียอดขายสูสีกับเว็บไซต์เหล่านั้น

เทคนิคการทำ SEO ที่คุณสามารถเรียนรู้และนำไปพัฒนาเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง มีดังนี้

1. ใช้ Keyword อย่างเหมาะสม

Keyword ตามทฤษฎีแล้ว มีทั้งแบบคำสั้นและวลียาว หากต้องการที่จะให้เว็บไซต์คุณปรากฏต่อลูกค้าเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เพิ่มโอกาสซื้อขายได้มากขึ้น ก็ควรจะทำเป็น Long Tail Keyword ที่จำเพาะเจาะจง หรือเรียกว่าเป็น Niche Market เพื่อให้ลูกค้าเฉพาะกลุ่มสามารถค้นหาร้านของคุณได้ตรงใจที่สุด ตัวอย่างเช่น คุณขายเสื้อผ้าเด็ก คุณอาจจะใช้ Keyword ว่า เสื้อยืดเด็ก ลายการ์ตูน ราคาถูก กรุงเทพ เป็นต้น

2. ตำแหน่ง keyword

เลือกหา Keyword ที่ดีจากสถิติใน Google หรือ Search Engine อื่น ๆ ที่ลูกค้าใช้บริการหาร้านค้าเป็นหลัก และควรมี 2-3 Keyword ในแต่ละบทความ โดยมีทั้ง Keyword ที่เป็นคำค้นหาหลักและรอง กระจายในเนื้อหา จะทำให้บทความมีคุณภาพทั้งในด้านการสืบค้นและ อ่านแล้วยังได้สาระประโยชน์ ทำให้ผู้อ่านประทับใจ หากคุณรู้เรื่องของสินค้าเป็นอย่างดี และสามารถที่จะผลิตบทความได้เอง ทั้งเปิดช่องให้ผู้อ่านแสดงความคิดเพิ่มเติมจากบทความ ก็จะช่วยให้ได้บทความที่มีความน่าสนใจและนำมาซึ่งยอดขายที่ดียิ่งขึ้น

3. ใส่ใจสถิติหรือ User signals

สถิติที่แต่ละเว็บไซต์เช็คได้ในการบริหารจัดการ เป็นสิ่งที่นำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเว็บไซต์ได้ เช่น

– ค่า CTR หรือ Click Through Rate เป็นอัตราการคลิกเข้าอ่านหรือชมสินค้าในเว็บไซต์ ค่านี้จะเพิ่มถ้าการเขียนหัวข้อเว็บไซต์มีความน่าสนใจดึงดูด จะทำให้มีคนเข้ามาอ่านและมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

– ค่า Time On Site หมายถึงระยะเวลา (นาที) ที่ผู้ชมคลิกแล้วอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ ยิ่งเพิ่มคุณภาพของเนื้อหาในแต่ละเพจ ก็จะทำให้ค่านี้สูงขึ้น

– ค่า Bounce Rate แสดงถึงการที่ผู้ชมอยู่ในหน้าเพจนั้นยาวนาน เช่น ชมคลิป อ่านข้อมูล โดยไม่ได้กดไปดูเพจอื่น ๆ ถ้าทำให้คลิปน่าสนใจ ก็จะได้ค่าตัวเลขที่ดีมากขึ้น

นอกจากนี้ การเพิ่มประชาสัมพันธ์ด้วยการโพสต์ตอบคำถามตามเว็บไซต์ภายนอก แล้วทำลิงก์เชื่อมโยงมาสู่เว็บไซต์ธุรกิจ ก็เป็นวิธี Off-page SEO ที่นิยม ทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นได้ หากนำข้อมูลที่กล่าวมาไปปรับใช้กับเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ มั่นใจได้ว่าจะมียอดขายดีขึ้นพอ ๆ กับเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่อย่างแน่นอน

เทคนิคการทำ SEO ที่คุณสามารถเรียนรู้และนำไปพัฒนาเว็บไซต์

SEO จำเป็นแค่ไหน ต้องทำตอนไหน

ธุรกิจยุคสมัยนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก SEO กันแล้ว ถามว่าจำเป็นแค่ไหน ก็ตอบเลยว่า ถ้าธุรกิจใดละเลยไม่ได้ทำ SEO ก็เหมือนถูกดันไปอยู่ท้ายซอยที่กว่าลูกค้าจะเดินเข้าไปถึงก็น้อยคนมาก เพราะร้านค้าริมถนนและหน้าปากซอยกวาดเอากลุ่มลูกค้าดี ๆ ไปหมดแล้ว การอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาในเสิร์จเอ็นจิ้น อย่าง Google นั้น ก็เหมือนการได้ทำเลที่ดีที่สุดที่จะดักกลุ่มเป้าหมายให้หันมาซื้อสินค้าหรือบริการได้มากที่สุด

ข้อดีของการทำ SEO

ธุรกิจของคุณอยู่ในสายตาลูกค้า

จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณมีสินค้าที่ยอดเยี่ยมแต่ไม่มีคนเห็น ต้องมาอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาเท่านั้น ลูกค้าจึงจะมองเห็นว่าคุณขายอะไร คนเข้าชมเว็บ 1000 คน ก็ต้องเป็นลูกค้าได้สัก 10 คน ยิ่งคนจำนวนมากมองเห็นร้านค้าของคุณ คุณก็ยิ่งมีโอกาสทำกำไร

มีความเสถียร ลูกค้าต้องการหาเมื่อไหร่ก็เจอ

ลูกค้าอาจไม่ได้เข้ามาร้านค้าของคุณครั้งแรกก็ซื้อเลย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเว็บไซต์ของคุณบังเอิญถูกเจอ แต่ตำแหน่งของเว็บคุณอยู่ในหน้าที่ 5 ของผลการค้นหา ลูกค้าที่กลับมาในวันต่อ ๆ ไป ก็จะไม่เจอเว็บไซต์ของคุณแล้ว อาจเปลี่ยนใจไปซื้อร้านอื่นแทน หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหน้าแรก ลูกค้าก็จะจำได้ อยากหาเมื่อไหร่ก็ยังคงอยู่ที่หน้าแรกเสมอ ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นต่อลูกค้า

ใคร ๆ ก็กล่าวถึงและแนะนำ

คุณคงเคยแนะนำเว็บไซต์ให้เพื่อนใช่ไหม เว็บแรก ๆ ในหน้าผลการค้นหาเท่านั้นที่มักจะถูกส่งต่อไปให้เพื่อน ๆ เช่น แนะนำเว็บประกาศขายคอนโด เว็บให้บริการดูแลสัตว์เลี้ยง เว็บที่ขายเสื้อผ้าสวย ๆ ยิ่งคุณอยู่ในหน้าแรกได้สูงและนานเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะถูกกล่าวถึงและแนะนำมากขึ้นเท่านั้น สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้จากการบอกกล่าวแบบปากต่อปากของผู้ที่พบเจอเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง

แล้วต้องทำ SEO ตอนไหน?

การทำ SEO ควรวางแผนคู่กันไปกับธุรกิจ สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่แรกเริ่มการดำเนินการ หลักจากที่คุณมีสินค้าและบริการพร้อมส่งถึงมือผู้ซื้อแล้ว และมีเว็บไซต์ที่เสร็จสมบูรณ์ กระบวนการ SEO ก็สามารถเริ่มได้จากตอนนี้เลย เพื่อจะได้มีเวลาเก็บสถิติต่าง ๆ ของผู้ชมเว็บไปวัดผลและปรับปรุงการทำ SEO ต่อไป

มาถึงตอนนี้คงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่า SEO นั้นไม่จำเป็น ในยุคที่คนส่วนใหญ่ใช้มือถือเป็นทุกอย่างในชีวิตหรือ IOT (Internet of Thing) ยิ่งต้องทำให้สินค้าและบริการของคุณขึ้นหน้าผลการค้นหาเป็นอันดับแรก ๆ เพื่อที่จะได้ลูกค้าที่มากที่สุด สร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว

ข้อดีของการทำ SEO

ประโยชน์ 3 ข้อ ของการทำ SEO

ความยากของผู้ประกอบการที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจ คือการทำให้ผู้บริโภคได้รู้จักสินค้าหรือบริการของเรา และต้องสร้างความน่าเชื่อถือในสินค้าหรือบริการนั้นด้วย ก็เป็นเรื่องน่าคิดว่าถ้าผู้ประกอบการไม่มีทุนที่จะทำการโฆษณาดังกล่าวแล้ว จะทำอย่างไร ? จึงเป็นที่มาของการทำ SEO เพราะเชื่อหรือไม่ว่าการทำ SEO ใช้เงินลงทุนไม่กี่พันบาท แต่ได้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการลงทุนหลักแสนหลักล้านเลยทีเดียว เพราะเป็นการนำเสนอ Content ของเราในช่องทางออนไลน์ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในยุคสมัยนี้

ประโยชน์ 3 ข้อ ของการทำ SEO

เจาะกลุ่มตลาดตรงเป้าหมาย สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจก่อนเลยก็คือ สินค้าหรือบริการของเรานั้น ตรงกับกลุ่มเป้าหมายใด เพราะอยากเจาะกลุ่มตลาดไม่ตรงเป้าหมาย ก็เหมือนเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขา ในเมื่อความต้องการซื้อ-ขาย ไม่ตรงกัน พยายามไปก็เท่านั้น สู้เอาแรงที่มีมาเจาะกลุ่มให้ตรงเป้าหมายดีกว่า โดยการทำ SEO จะอาศัย Keyword ในการทำ Content นำเสนอสิ่งที่เราต้องการสื่อให้ตรงกับตลาดเป้าหมายให้มากที่สุด ดังนั้นผู้ที่เห็น Content ของเราจึงมั่นใจได้เลยว่าเป็นลูกค้าของเราอย่างแน่นอน

เป็นการโฆษณาที่คนเห็นเยอะที่สุด การทำ SEO ใน Search Engine ดัง ๆ อย่าง Google ซึ่งเป็นเว็บไซต์ในการค้นหาที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่ง จะทำให้มีผู้คนพบเห็น Content ของเรามากที่สุดด้วย แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า Google จะมีหน้าค้นหาหลายหน้า จึงไม่แปลกเลยถ้าเราจะตกไปอยู่หน้าท้าย ๆ คนก็จะเห็นเว็บไซต์ของเราน้อยไปด้วย ดังนั้นเราจึงต้องนำการทำ SEO มาปรับใช้ เพื่อดันให้เว็บไซต์ของเราไปอยู่ในหน้าแรก ๆ หากทำได้ก็ถือเป็นการโฆษณาที่ดีที่สุด และถูกที่สุดวิธีหนึ่งเลยทีเดียว

การทำ SEO มีประโยชน์อย่างไร ทำไมผู้ประกอบการหน้าใหม่ต้องทำ

ใช้ทุนต่ำ เหมาะกับผู้ประกอบการมือใหม่ เพราะการทำ SEO เป็นการอาศัย Keyword ดี ๆ มีการค้นหาสูง นำมาประกอบการทำ Content คุณภาพ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นหามาก ๆ จนได้รับการจัดอันดับของ Google ให้ไปอยู่ในหน้าแรก ๆ นั่นเอง ซึ่งเป็นวิธีการโฆษณาที่ใช้ทุนต่ำมาก หากใครที่มีสกิลในการเขียนอยู่แล้ว ก็สามารถลงมือเองได้เลย หรือจะจ้างบริษัทที่รับทำเกี่ยวกับเรื่องนี้มาใช้บริการก็ได้ แต่รับรองเลยว่าใช้ทุนไม่เยอะ แถมได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดอีกด้วย

บางครั้งในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วนี้ เราก็จะเป็นจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อปรับตัว เพราะเชื่อว่าแม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีคนที่ไม่รู้จักการทำ SEO และใช้วิธีการโฆษณาในแบบเดิม ๆ ที่นอกจากจะใช้ทุนสูงแล้ว ยังไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้ลองศึกษาถึงวิธีการทำ SEO เพื่อเป็นอีกแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดนั่นเอง

การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ออนไลน์ ใช้วิธี SEO หรือ SEM ดีกว่ากัน

การทำประชาสัมพันธ์หรือการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมีหลายช่องทาง ซึ่ง SEO และ SEM เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากช่วยเพิ่มยอดขายและทำให้เป็นเว็บไซต์เป็นที่รู้จักได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การทำ SEO และ SEM ก็มีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน ซึ่งเราได้รวบรวมประเด็นที่สำคัญมาไว้ที่นี่แล้ว ดังนี้

1. ด้านระยะเวลา

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับได้ดีในหน้าต่างการสืบค้น อันเป็นผลจากการวิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ หรือ AI ที่ไม่สามารถควบคุมลำดับหรือตำแหน่งในการนำเสนอได้ จึงต้องอาศัยระยะเวลาจากการสะสมข้อมูล ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องทำ คือ การผลิตเนื้อหา รูปภาพ คลิปวีดีโอ เพื่อดึงดูดให้มีจำนวนการเข้าชมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากเปรียบเทียบกับ SEM หรือ Search Engine Marketing ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์โดยการซื้อพื้นที่โฆษณา เพื่อให้อยู่ในอันดับต้น ๆ เช่น 5 อันดับแรกของหน้าต่างการสืบค้นใน Yahoo และ Google จะเห็นได้ชัดว่า SEM เพิ่มยอดเข้าชมและยอดขายจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเร็วและมากกว่า

2. ค่าใช้จ่าย

การทำ SEO สามารถทำได้ด้วยเจ้าของเว็บไซต์เพียงคนเดียว จึงเรียกได้ว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในการจ้างคนหรือหากจำเป็นต้องจ้างอาจจะใช้บริการจ้างทีมงานมืออาชีพ เพื่อการเขียนบทความ ถ่ายภาพและทำสื่อโฆษณาและทำคลิปวีดีโอต่าง ๆ ประกอบ หลังจากการออกแบบเว็บไซต์ ซึ่งปัจจุบันมีโครงสร้างของเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ใช้งานได้ที่เพียงพอต่อการใช้งานโดยทั่วไปแล้ว

ส่วนการทำ SEM ย่อมมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น จากการประมูลพื้นที่โฆษณาในอันดับต้น ๆ และเมื่อมีการคลิกจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้าไปในเว็บไซต์ผ่าน link ที่โฆษณา ก็จะทำให้เกิดการคำนวณค่าใช้จ่าย ที่จะต้องชำระให้แก่ทาง Search Engine แบบ Pay Per Click ตามมา

3. ความสม่ำเสมอในการดูแล

การทำ SEO อยู่ที่ตัวของเจ้าของเว็บไซต์เอง ซึ่งหากมีการทำอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลที่ชัดเจนทั้งด้านยอดขายและผู้ติดตามเว็บไซต์มากขึ้น โดยที่ยังควบคุมค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี

การทำ SEM ย่อมมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น

ส่วนการทำ SEM หากมีต้นทุนที่จำกัด ควรจะทำเป็นจังหวะช่วงเวลาเพื่อกระตุ้นยอดขายตามสถานการณ์เช่น เมื่อมีการออกสินค้ารุ่นใหม่ มีการจัด Event หรือจัดโปรโมชั่นปลายปี ฯลฯ การทำ SEM ก็ไม่ต้องดูแลในเรื่องรายละเอียด เพียงตั้งค่าไว้กับโปรแกรมโฆษณาของ Search Engine ก็จะทำงานอัตโนมัติและเรียกเก็บเงินเมื่อถึงกำหนด

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO และ SEM มีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน นักธุรกิจที่ต้องการประชาสัมพันธ์ให้เว็บไซต์มีชื่อเสียงติดตลาด สามารถเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือจะใช้วิธีการแบบผสมผสานให้เสริมจุดแข็งร่วมกันเพื่อช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเจริญก้าวหน้าได้ดียิ่งขึ้นก็ได้